เรื่องราวดีๆ ที่อยากแบ่งปัน ***[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผู้หญิงคนหนึ่งจอดจักรยานไว้และเมื่อทำธุระเสร็จเธอก็เดินกลับมาที่จักรยานของเธอแล้วพบกระดาษที่มีข้อความและเงิน ¥1000 ข้อความในจดหมายคือ
"ฉันบังเอิญทำจักรยานของคุณล้มและทำให้กริ่งจักรยานของคุณพัง ขอโทษจริงๆ นะ"
ปล. กริ่งจักรยานตามร้านร้อยเยนก็มีขาย ราคาก็แค่ ¥108 เท่านั้นเอง ....
いいね!!
(^__^) Love Japan
6/27/2557
ทำไมชุดอาหารกลางวันของเด็กประถมญี่ปุ่นต้องมีนมสด?
*** ทำไมชุดอาหารกลางวันของเด็กประถมญี่ปุ่นต้องมีนมสด? ***[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ http://www.japantown.info/post/397
- ข้าว ผัดผักรวม ซุปผัก ผัดเนื้อ และนมสด -
อาหารกลางวันในโรงเรียนของเด็กญี่ปุ่น มักจะประกอบด้วยข้าว โปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งอาจจะเป็น ปลา ไก่หรือเนื้อวัว ผักชนิดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือ "นมสด"
- ข้าว ซุป มีทบอล ผัดผักขม และนมสด -
ใครๆ ก็รู้ว่านมสดนั้นมีประโยชน์มากๆ ไม่เห็นจะแปลกที่บังคับให้เด็กๆ กินเลยนี่น่า...แต่ว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นประเทศที่นิยมการดื่มนมมาก่อน แต่เพราะว่ามีสาเหตุจึงได้ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารไปจากเดิม
- ขนมปัง ปลาและซ๊อสทาทาร์ สลัดแบบญี่ปุ่น ซุปมะเขือเทศ และนมสด -
สาเหตุที่อาหารกลางวันของเด็กๆ ต้องมีนมสดอยู่ในเซ็ทด้วยนั้น ก็เพราะว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประชากรของญี่ปุ่นส่วนมากไม่ค่อยสูงสักเท่าไหร่ ทำให้ดูแตกต่างจากชาวตะวันตกอย่างมากและถูกดูแคลนในเรื่องความสูง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐบาลจึงได้สั่งให้ทุกโรงเรียนเพิ่มนมสดเข้าไปในอาหารกลางวันด้วย เพราะนมสดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงและนอกจากนี้นมยังมีแคลเซียมสูง เพื่อความสูงของเด็กๆ ญี่ปุ่นนั่นเอง
จากรูปคืออาหารกลางวันของเด็กประถมที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มาแอบดูกันนะคะว่าเด็กๆ ทานอะไรกันบ้าง
- ข้าว อกไก่ทอด สลัดผักแบบญี่ปุ่น มิโซะซุป และนมสด -
- ข้าว ผัดเต้าหู้ ซุป เกี๋ยวหมู และนมสด -
- อุด้ง มิโซะซุป ผัดผัก ไข่ต้ม และนมสด -
- ข้าวโรยสาหร่าย ซุปไข่ ไก่ทอด สลัดแบบญี่ปุ่น และนมสด -
- ข้าว ปลานึ่ง สลัดแบบญี่ปุ่น ซุป และนมสด -
- นาน สลัดผักราดมายองเนส ไก่ย่าง และนมสด-
- ข้าว ผัดผักรวม ซุปผัก ผัดเนื้อ และนมสด -
อาหารกลางวันในโรงเรียนของเด็กญี่ปุ่น มักจะประกอบด้วยข้าว โปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งอาจจะเป็น ปลา ไก่หรือเนื้อวัว ผักชนิดต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือ "นมสด"
- ข้าว ซุป มีทบอล ผัดผักขม และนมสด -
ใครๆ ก็รู้ว่านมสดนั้นมีประโยชน์มากๆ ไม่เห็นจะแปลกที่บังคับให้เด็กๆ กินเลยนี่น่า...แต่ว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้เป็นประเทศที่นิยมการดื่มนมมาก่อน แต่เพราะว่ามีสาเหตุจึงได้ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารไปจากเดิม
- ขนมปัง ปลาและซ๊อสทาทาร์ สลัดแบบญี่ปุ่น ซุปมะเขือเทศ และนมสด -
สาเหตุที่อาหารกลางวันของเด็กๆ ต้องมีนมสดอยู่ในเซ็ทด้วยนั้น ก็เพราะว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประชากรของญี่ปุ่นส่วนมากไม่ค่อยสูงสักเท่าไหร่ ทำให้ดูแตกต่างจากชาวตะวันตกอย่างมากและถูกดูแคลนในเรื่องความสูง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐบาลจึงได้สั่งให้ทุกโรงเรียนเพิ่มนมสดเข้าไปในอาหารกลางวันด้วย เพราะนมสดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงและนอกจากนี้นมยังมีแคลเซียมสูง เพื่อความสูงของเด็กๆ ญี่ปุ่นนั่นเอง
จากรูปคืออาหารกลางวันของเด็กประถมที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มาแอบดูกันนะคะว่าเด็กๆ ทานอะไรกันบ้าง
- ข้าว อกไก่ทอด สลัดผักแบบญี่ปุ่น มิโซะซุป และนมสด -
- ข้าว ผัดเต้าหู้ ซุป เกี๋ยวหมู และนมสด -
- อุด้ง มิโซะซุป ผัดผัก ไข่ต้ม และนมสด -
- ข้าวโรยสาหร่าย ซุปไข่ ไก่ทอด สลัดแบบญี่ปุ่น และนมสด -
- ข้าว ปลานึ่ง สลัดแบบญี่ปุ่น ซุป และนมสด -
- นาน สลัดผักราดมายองเนส ไก่ย่าง และนมสด-
ถาดรับเงินที่ญี่ปุ่นมีไว้เพื่ออะไรกันน๊า
ถาดรับเงินที่ญี่ปุ่นมีไว้เพื่ออะไรกันน๊า? ***
ตามร้านค้าต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น สังเกตุได้ว่าจะมีถาดรับเงินแบบในรูปวางอยู่ที่แคชเชียร์ (อันที่เราเจอบ่อยๆ จะเป็นสีฟ้าๆ) จุดประสงค์ก็เพื่อให้ลูกค้าวางเงินลงไปในนั้นเวลาที่จ่ายเงิน และพนักงานก็จะถอนเงินให้เราโดยนับๆ เงินให้เราดูเสร็จ แล้วก็วางลงในถาดนี้ เพราะว่าที่นี่ไม่นิยมรับเงินจากมือสู่มือค่ะ
แต่เดี๋ยวนี้ เวลาพนักงานทอนเงินให้เรา บางครั้งก็ส่งให้จากมือสู่มือ ก็ถือว่าปรกตินะคะ
การที่เค้าไม่นิยมรับเงินจากมือสู่มืออาจเพราะว่าเค้าห่วงเรื่องความถูกต้องในการรับเงิน การทอนเงินมากกว่าค่ะ คือถ้าวางเงินในถาด ก็คือจะมีแต่เงินของคุณนะ คุณจ่ายมาแค่นี้จริงๆ ร้านที่ญี่ปุ่น พอลูกค้าจ่ายเงินในถาด ก็จะหยิบขึ้นมา แล้วนับเงินแบบออกเสียงให้เราดูเลยว่านี่นะ คุณจ่ายมาเท่านี้นะ สมมุติว่าห้าพันเยน ก็จะนับๆๆๆ เสร็จแล้ว ก็จะพูดว่าห้าพันเยนนะคะ ตอนทอนก็นับออกเสียงอีกครั้ง นี่นะ ห้าร้อยเยน อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ ให้รู้ว่าไม่มีเงินอื่นใดเกี่ยวข้อง มีแค่นี้ แค่ตรงนี้ และไม่มีเงินอื่นใดที่พนักงานถืออีก นอกจากเงินของลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า ประมาณนี้ค่ะ
ตามร้านค้าต่างๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น สังเกตุได้ว่าจะมีถาดรับเงินแบบในรูปวางอยู่ที่แคชเชียร์ (อันที่เราเจอบ่อยๆ จะเป็นสีฟ้าๆ) จุดประสงค์ก็เพื่อให้ลูกค้าวางเงินลงไปในนั้นเวลาที่จ่ายเงิน และพนักงานก็จะถอนเงินให้เราโดยนับๆ เงินให้เราดูเสร็จ แล้วก็วางลงในถาดนี้ เพราะว่าที่นี่ไม่นิยมรับเงินจากมือสู่มือค่ะ
แต่เดี๋ยวนี้ เวลาพนักงานทอนเงินให้เรา บางครั้งก็ส่งให้จากมือสู่มือ ก็ถือว่าปรกตินะคะ
การที่เค้าไม่นิยมรับเงินจากมือสู่มืออาจเพราะว่าเค้าห่วงเรื่องความถูกต้องในการรับเงิน การทอนเงินมากกว่าค่ะ คือถ้าวางเงินในถาด ก็คือจะมีแต่เงินของคุณนะ คุณจ่ายมาแค่นี้จริงๆ ร้านที่ญี่ปุ่น พอลูกค้าจ่ายเงินในถาด ก็จะหยิบขึ้นมา แล้วนับเงินแบบออกเสียงให้เราดูเลยว่านี่นะ คุณจ่ายมาเท่านี้นะ สมมุติว่าห้าพันเยน ก็จะนับๆๆๆ เสร็จแล้ว ก็จะพูดว่าห้าพันเยนนะคะ ตอนทอนก็นับออกเสียงอีกครั้ง นี่นะ ห้าร้อยเยน อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ ให้รู้ว่าไม่มีเงินอื่นใดเกี่ยวข้อง มีแค่นี้ แค่ตรงนี้ และไม่มีเงินอื่นใดที่พนักงานถืออีก นอกจากเงินของลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า ประมาณนี้ค่ะ
แปลกตากับไอศกรีมชิริน - ชิริน รูปดอกกุหลาบ
*** แปลกตากับไอศกรีมชิริน - ชิริน รูปดอกกุหลาบ ***
ที่มาของชื่อไอศกรีมนี้ก็คือ เสียงชิริน ชิริน (Chirin-Chirin) ก็คือเสียงกรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น เสียงจะเกิดขึ้นก็คือตอนที่คนขายไอศกรีมเดินขายไอศกรีมไปก็สั่นกระดิ่งไป กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง นั่นเองค่ะ
เพื่อนๆ ต้องไม่เคยเห็นไอศกรีมแบบนี้มาก่อนแน่นอน นอกจากว่าจะเคยไปแถวนางะซะกิมาก่อน ซึ่งคนแถวๆ นั้นเค้ารู้จักไอศกรีมชิริน-ชิรินเป็นอย่างดีค่ะ ไอศกรีมชิริน-ชิรินนิยมไปตั้งขายแถวๆ สถานที่ ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ รอบเมืองนะงะซะกิ ขายมานานประมาณ 50 ปีแล้วนะคะ เป็นไอศกรีมเชอร์เบ็ทแช่แข็งที่คนขายคือคุณป้าท่าทางใจดี ราคาของไอศกรีมก็ถูกมากๆ เลยค่ะ แค่อันละ 100 เยน หรือประมาณ 30 บาทเท่านั้นเอง
การตักไอศกรีมให้เป็นรูปกุหลาบ คุณป้าก็มีเทคนิคคือต้องตักไอศกรีมทีละน้อยๆ ตักหนึ่งครั้งก็ได้หนึ่งกลีบกุหลาบ ค่อยๆ ขยับไปจนครบรอบ ได้เป็นดอกกุหลาบพอดี เด็กๆ ก็ชอบมามุงดูเวลาที่คุณป้าประกอบร่างไอศกรีมเป็นรูปดอกกุหลาบ คือว่าเร็วมาก จนเด็กๆ (และผู้ใหญ่แถวๆ นั้น) ต้องทึ่ง!! ลองดูความว่องไวของคุณป้าได้จากยูทูปด้านล่างนะคะ
เมื่อตอนที่ขายใหม่ๆ ก็ตักฐานของไอศกรีมแค่นิดเดียว พอติดดอกกุหลาบเข้าไป ไอศกรีมก็หล่นจากโคนได้ง่ายๆ เด็กๆ ร้องไห้กันกระจองอแง คุณป้าเลยตัดสินใจว่าต้องทำฐานของไอศกรีมให้แน่นขึ้น โดยเพิ่มไอศกรีมเข้าไปอีก พอติดกลับกุหลาบทีนี้ก็ไม่หล่นแล้ว เพราะว่าแน่นหนาดีค่ะ
ร้านคุณป้าฮ๊อทมากนะคะ ไม่ได้ขายดีแค่ช่วงฤดูร้อนเท่านั้นแต่ว่าขายดีตลอดปีเลยค่ะ แม้กระทั่งช่วงฤดูหนาวที่หนาวววววเหน็บก็ยังขายดี ซึ่งคุณป้าบอกว่าช่วงที่ขายดีที่สุดคือช่วงปีใหม่ที่เด็กๆ ได้เงินจากผู้ใหญ่แล้วก็วิ่งมาซื้อไอศกรีมกันใหญ่เลย น่ารักจริงๆ นะคะเนี๊ยะ ดูท่าทางคุณป้าจะเป็นขวัญใจเด็กๆ
ที่ที่คุณป้าจอดรถไอศกรีมเป็นประจำก็คือแถวๆ ริมแม่น้ำใกล้ๆสะพานแว่นตาหรือเมงาเนะบาชิ (Meganebashi : 眼鏡橋) หาไม่ยากหรอกนะ ถ้าใครมีโอกาศไปนะงะซะกิ แถวๆ อุโอะโนะมาจิ (Uonomachi area) อย่าลืมไปอุดหนุนคุณป้าด้วยนะคะ
ที่มาของชื่อไอศกรีมนี้ก็คือ เสียงชิริน ชิริน (Chirin-Chirin) ก็คือเสียงกรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น เสียงจะเกิดขึ้นก็คือตอนที่คนขายไอศกรีมเดินขายไอศกรีมไปก็สั่นกระดิ่งไป กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง นั่นเองค่ะ
เพื่อนๆ ต้องไม่เคยเห็นไอศกรีมแบบนี้มาก่อนแน่นอน นอกจากว่าจะเคยไปแถวนางะซะกิมาก่อน ซึ่งคนแถวๆ นั้นเค้ารู้จักไอศกรีมชิริน-ชิรินเป็นอย่างดีค่ะ ไอศกรีมชิริน-ชิรินนิยมไปตั้งขายแถวๆ สถานที่ ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ รอบเมืองนะงะซะกิ ขายมานานประมาณ 50 ปีแล้วนะคะ เป็นไอศกรีมเชอร์เบ็ทแช่แข็งที่คนขายคือคุณป้าท่าทางใจดี ราคาของไอศกรีมก็ถูกมากๆ เลยค่ะ แค่อันละ 100 เยน หรือประมาณ 30 บาทเท่านั้นเอง
การตักไอศกรีมให้เป็นรูปกุหลาบ คุณป้าก็มีเทคนิคคือต้องตักไอศกรีมทีละน้อยๆ ตักหนึ่งครั้งก็ได้หนึ่งกลีบกุหลาบ ค่อยๆ ขยับไปจนครบรอบ ได้เป็นดอกกุหลาบพอดี เด็กๆ ก็ชอบมามุงดูเวลาที่คุณป้าประกอบร่างไอศกรีมเป็นรูปดอกกุหลาบ คือว่าเร็วมาก จนเด็กๆ (และผู้ใหญ่แถวๆ นั้น) ต้องทึ่ง!! ลองดูความว่องไวของคุณป้าได้จากยูทูปด้านล่างนะคะ
เมื่อตอนที่ขายใหม่ๆ ก็ตักฐานของไอศกรีมแค่นิดเดียว พอติดดอกกุหลาบเข้าไป ไอศกรีมก็หล่นจากโคนได้ง่ายๆ เด็กๆ ร้องไห้กันกระจองอแง คุณป้าเลยตัดสินใจว่าต้องทำฐานของไอศกรีมให้แน่นขึ้น โดยเพิ่มไอศกรีมเข้าไปอีก พอติดกลับกุหลาบทีนี้ก็ไม่หล่นแล้ว เพราะว่าแน่นหนาดีค่ะ
ร้านคุณป้าฮ๊อทมากนะคะ ไม่ได้ขายดีแค่ช่วงฤดูร้อนเท่านั้นแต่ว่าขายดีตลอดปีเลยค่ะ แม้กระทั่งช่วงฤดูหนาวที่หนาวววววเหน็บก็ยังขายดี ซึ่งคุณป้าบอกว่าช่วงที่ขายดีที่สุดคือช่วงปีใหม่ที่เด็กๆ ได้เงินจากผู้ใหญ่แล้วก็วิ่งมาซื้อไอศกรีมกันใหญ่เลย น่ารักจริงๆ นะคะเนี๊ยะ ดูท่าทางคุณป้าจะเป็นขวัญใจเด็กๆ
ที่ที่คุณป้าจอดรถไอศกรีมเป็นประจำก็คือแถวๆ ริมแม่น้ำใกล้ๆสะพานแว่นตาหรือเมงาเนะบาชิ (Meganebashi : 眼鏡橋) หาไม่ยากหรอกนะ ถ้าใครมีโอกาศไปนะงะซะกิ แถวๆ อุโอะโนะมาจิ (Uonomachi area) อย่าลืมไปอุดหนุนคุณป้าด้วยนะคะ
รถไฟบริการตู้นอน Sunsire Izumi
*** รถไฟบริการตู้นอน Sunsire Izumi ***[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.japantown.info/post/406
สำหรับใครที่มี JR Pass สามารถใช้บริการรถไฟแบบตู้นอน (Overnight train) ของรถไฟขบวน Sunrise Izumo
ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม
รถไฟ Sunrise Izumi วิ่งให้บริการไป-กลับระหว่างสถานี Tokyo กับสถานี Izumo-Shi โดยผ่านเมืองหลักๆอย่าง
Yokohama, Shizuoka, Hamamatsu, Osaka, Himeji, Okayama, Matsue และ Izumo-shi
ห้องนอนนั้นก็มีทั้งหมด 5 แบบที่ให้บริการ
1. ที่นั่งแบบโนบิ โนบิ (Nobi Nobi seat)
สำหรับคนที่มี JR PASS และไม่อยากเสียค่าบริการเพิ่ม สามารถจองที่นอนบริเวณได้ฟรี คุณสามารถนอนได้อย่างสบายๆ มีที่กั้นระหว่างที่นอนแต่ละที่ แต่เนื่องจากที่นั่งประเภทนี้จะได้รับความนิยมมาก ทำให้เต็มค่อนข้างไว ดังนั้นต้องรีบจองทันทีเมื่อแลกบัตร JR Pass ตอนที่มาถึงญี่ปุ่นนะคะ
*หมายเหตุ ห้องนอนแบบนี้เป็นแบบเดียวที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม นอกนั้นมีค่าบริการค่ะ
2. ห้องเดี่ยวแบบดีลักซ์ (Single Deluxe)
ค่าใช้จ่าย 16,500 เยนต่อคืน ห้องแบบนี้เป็นห้องที่ดีที่สุด เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.85 เมตร ห้องแบบนี้สามารถมองวิวด้านนอกได้ดี มีโต๊ะ เก้าอี้ และอ่างล้างหน้า ภายในห้อง ส่วนห้องอาบน้ำก็อยู่ในส่วนโบกี้นี้ ซึ่งผู้โดยสารจะได้รับการ์ดสำหรับใช้บริการห้องอาบน้ำ ซึ่งมีแต่ผู้โดยสารห้องเดี่ยวแบบดีลักซ์เท่านั้นที่สามารถใช้บริการห้องอาบน้ำได้
3. ห้องเดี่ยว (Single)
ค่าใช้จ่าย 10,500 เยนต่อคืน ห้องแบบนี้จัดว่าเป็นห้องแบบมาตรฐาน เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.70 เมตร เพดานห้องสูงจากพื้น 1.80 เมตร ห้องอาบน้ำมีให้บริการที่โบกี้นี้ แต่ว่าผู้โดยสารต้องซื้อตั๋วเพื่อใช้บริการห้องอาบน้ำจากนายตรวจ ซึ่งมีราคา 300 เยน อาบน้ำได้ 6 นาที แต่ว่าตั๋วอาบน้ำก็มีจำนวนจำกัด ต่อการโดยสารหนึ่งเที่ยวนั้นมีตั๋วอาบน้ำขายเพียง 20 ใบเท่านั้น เนื่องจากปริมาณน้ำบนรถไฟนั้นมีจำกัด
4. ห้องโซโล (Solo)
ค่าใช้จ่าย 9,450 เยน เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.70 เมตรเท่ากับห้องเดี่ยวแต่ว่าเพดานห้องสูงจากพื้นไม่มากนัก ทำให้ไม่สามารถยืนภายในห้องได้ ต้องก้มหลัง อาจจะไม่ค่อยสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ
5. ห้องเดี่ยวแบบเตียงคู่ (Single Twin)
ค่าใช้จ่ายสำหรับการพักแค่ 1 คนคือ 12,320 เยน แต่ว่าหากพัก 2 คน ต้องจ่ายที่ราคา 20,720 เยน เตียงมีขนาด
1.96 เมตร x 0.70 เมตร เตียงด้านบนจะมีขนาดเล็กกว่าเตียงด้านล่างเล็กน้อย และเตียงด้านล่างสามารถปรับเบาะเป็นเก้าอี้ได้
6. ห้องซันไรท์ ทวิน (Sunrise Twin)
ค่าใช้จ่าย 10,500 เยน เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.75 เมตร
มีส่วนที่เป็นที่นั่งพักรับประทานอาหารแล้วก็มีตู้กดน้ำให้บริการด้วยนะคะ ลองเช็คเส้นทางดู ถ้าใครอยู่ในรูทนี้ก็ลองใช้บริการกันได้นะคะ
ตารางการเดินรถตามนี้นะคะ
ถ้ารถออกจากโตเกียว ไม่จอดสถานีโอซาก้านะคะ เพราะว่าเช้าเกินไป
สำหรับใครที่มี JR Pass สามารถใช้บริการรถไฟแบบตู้นอน (Overnight train) ของรถไฟขบวน Sunrise Izumo
ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม
รถไฟ Sunrise Izumi วิ่งให้บริการไป-กลับระหว่างสถานี Tokyo กับสถานี Izumo-Shi โดยผ่านเมืองหลักๆอย่าง
Yokohama, Shizuoka, Hamamatsu, Osaka, Himeji, Okayama, Matsue และ Izumo-shi
ห้องนอนนั้นก็มีทั้งหมด 5 แบบที่ให้บริการ
1. ที่นั่งแบบโนบิ โนบิ (Nobi Nobi seat)
สำหรับคนที่มี JR PASS และไม่อยากเสียค่าบริการเพิ่ม สามารถจองที่นอนบริเวณได้ฟรี คุณสามารถนอนได้อย่างสบายๆ มีที่กั้นระหว่างที่นอนแต่ละที่ แต่เนื่องจากที่นั่งประเภทนี้จะได้รับความนิยมมาก ทำให้เต็มค่อนข้างไว ดังนั้นต้องรีบจองทันทีเมื่อแลกบัตร JR Pass ตอนที่มาถึงญี่ปุ่นนะคะ
*หมายเหตุ ห้องนอนแบบนี้เป็นแบบเดียวที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม นอกนั้นมีค่าบริการค่ะ
2. ห้องเดี่ยวแบบดีลักซ์ (Single Deluxe)
ค่าใช้จ่าย 16,500 เยนต่อคืน ห้องแบบนี้เป็นห้องที่ดีที่สุด เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.85 เมตร ห้องแบบนี้สามารถมองวิวด้านนอกได้ดี มีโต๊ะ เก้าอี้ และอ่างล้างหน้า ภายในห้อง ส่วนห้องอาบน้ำก็อยู่ในส่วนโบกี้นี้ ซึ่งผู้โดยสารจะได้รับการ์ดสำหรับใช้บริการห้องอาบน้ำ ซึ่งมีแต่ผู้โดยสารห้องเดี่ยวแบบดีลักซ์เท่านั้นที่สามารถใช้บริการห้องอาบน้ำได้
3. ห้องเดี่ยว (Single)
ค่าใช้จ่าย 10,500 เยนต่อคืน ห้องแบบนี้จัดว่าเป็นห้องแบบมาตรฐาน เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.70 เมตร เพดานห้องสูงจากพื้น 1.80 เมตร ห้องอาบน้ำมีให้บริการที่โบกี้นี้ แต่ว่าผู้โดยสารต้องซื้อตั๋วเพื่อใช้บริการห้องอาบน้ำจากนายตรวจ ซึ่งมีราคา 300 เยน อาบน้ำได้ 6 นาที แต่ว่าตั๋วอาบน้ำก็มีจำนวนจำกัด ต่อการโดยสารหนึ่งเที่ยวนั้นมีตั๋วอาบน้ำขายเพียง 20 ใบเท่านั้น เนื่องจากปริมาณน้ำบนรถไฟนั้นมีจำกัด
4. ห้องโซโล (Solo)
ค่าใช้จ่าย 9,450 เยน เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.70 เมตรเท่ากับห้องเดี่ยวแต่ว่าเพดานห้องสูงจากพื้นไม่มากนัก ทำให้ไม่สามารถยืนภายในห้องได้ ต้องก้มหลัง อาจจะไม่ค่อยสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ
5. ห้องเดี่ยวแบบเตียงคู่ (Single Twin)
ค่าใช้จ่ายสำหรับการพักแค่ 1 คนคือ 12,320 เยน แต่ว่าหากพัก 2 คน ต้องจ่ายที่ราคา 20,720 เยน เตียงมีขนาด
1.96 เมตร x 0.70 เมตร เตียงด้านบนจะมีขนาดเล็กกว่าเตียงด้านล่างเล็กน้อย และเตียงด้านล่างสามารถปรับเบาะเป็นเก้าอี้ได้
6. ห้องซันไรท์ ทวิน (Sunrise Twin)
ค่าใช้จ่าย 10,500 เยน เตียงมีขนาด 1.96 เมตร x 0.75 เมตร
มีส่วนที่เป็นที่นั่งพักรับประทานอาหารแล้วก็มีตู้กดน้ำให้บริการด้วยนะคะ ลองเช็คเส้นทางดู ถ้าใครอยู่ในรูทนี้ก็ลองใช้บริการกันได้นะคะ
ตารางการเดินรถตามนี้นะคะ
ถ้ารถออกจากโตเกียว ไม่จอดสถานีโอซาก้านะคะ เพราะว่าเช้าเกินไป
น่าทึ่ง!! ทางด่วนผ่านตึกที่โอซาก้า
*** น่าทึ่ง!! ทางด่วนผ่านตึกที่โอซาก้า ***
สถาปัตยกรรมที่คุณต้องทึ่ง ว่าเค้าคิดได้ยังไง?
ที่จังหวัดโอซาก้า ในเขตฟุกุชิมะ เจ้าหน้าที่วางผังเมืองร่วมกับวิศวกรชาวญี่ปุ่นตัดสินใจทำถนนผ่านตึก เพื่อแก้ปํญหาที่จะต้องมีการเวนคืนที่ดินหรือทุบตึกทิ้งเพื่อสร้างถนนในบริเวณนั้น โดยตึกดังกล่าวคือตึกเดอะเกททาวเวอร์ (The Gate Tower Building) มีความสูง 16 ชั้น ซึ่งทางวิศวกรได้ตั้งชื่อเล่นๆให้ตึกนี้ว่า “บีฮีฟ” (รังผึ้ง) เนื่องจากตึกได้กลายเป็นเหมือนรังผึ้ง ที่มี่รถวิ่งผ่านออกจากตึกตลอดเวลาเป็นลักษณะที่คล้ายๆ กับฝูงผึ้งที่บินออกจากรังนั่นเอง
มีการเจรจากันอยู่หลายปี ก่อนที่เจ้าของที่ดินและผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ จะเข้าใจและยอมรับให้มีการทำถนนผ่านตัวอาคารได้ เมื่อทุกฝ่ายเห็นตรงกันจึงมีการทำข้อตกลงให้ทางหลวงสามารถสร้างถนนผ่านตึกได้ ตึกนี้มีความสูงทั้งสิ้น 16 ชั้น โดยถนนที่ผ่านตึกนี้อยู่บริเวณชั้น 5 - ชั้น 7 ระยะเวลาการสร้างนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 1989 ก่อนเสร็จสิ้นในปี 1992
ถนนทางด่วนที่วิ่งผ่านตึกนี้เป็นทางหลวงส่วนหนึ่งของทางด่วน ฮันชิน (Hanshin) เครือข่าย (239.3 กม.) จากทางด่วนรอบโอซาก้า โกเบและเกียวโต ส่วนชั้น 5 – 7 ที่หายไป ลิฟท์ที่อยู่ด้านขวาของตึกจะไม่หยุดจอดที่ 3 ชั้นนี้ เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารได้ใช้ชีวิตอย่างปรกติ วิศวกรได้ออกแบบให้มีอุโมงค์ยักษ์ครอบถนนเอาไว้ ดังนั้นผู้ที่อยู่อาศัยในตัวอาคารจะไม่ถูกรบกวนจากเสียงดังของรถที่วิ่งผ่านหรือแรงสั่นสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งจริงๆ นะคะ
ที่มา http://www.japantown.info/post/190
สถาปัตยกรรมที่คุณต้องทึ่ง ว่าเค้าคิดได้ยังไง?
ที่จังหวัดโอซาก้า ในเขตฟุกุชิมะ เจ้าหน้าที่วางผังเมืองร่วมกับวิศวกรชาวญี่ปุ่นตัดสินใจทำถนนผ่านตึก เพื่อแก้ปํญหาที่จะต้องมีการเวนคืนที่ดินหรือทุบตึกทิ้งเพื่อสร้างถนนในบริเวณนั้น โดยตึกดังกล่าวคือตึกเดอะเกททาวเวอร์ (The Gate Tower Building) มีความสูง 16 ชั้น ซึ่งทางวิศวกรได้ตั้งชื่อเล่นๆให้ตึกนี้ว่า “บีฮีฟ” (รังผึ้ง) เนื่องจากตึกได้กลายเป็นเหมือนรังผึ้ง ที่มี่รถวิ่งผ่านออกจากตึกตลอดเวลาเป็นลักษณะที่คล้ายๆ กับฝูงผึ้งที่บินออกจากรังนั่นเอง
มีการเจรจากันอยู่หลายปี ก่อนที่เจ้าของที่ดินและผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ จะเข้าใจและยอมรับให้มีการทำถนนผ่านตัวอาคารได้ เมื่อทุกฝ่ายเห็นตรงกันจึงมีการทำข้อตกลงให้ทางหลวงสามารถสร้างถนนผ่านตึกได้ ตึกนี้มีความสูงทั้งสิ้น 16 ชั้น โดยถนนที่ผ่านตึกนี้อยู่บริเวณชั้น 5 - ชั้น 7 ระยะเวลาการสร้างนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 1989 ก่อนเสร็จสิ้นในปี 1992
ถนนทางด่วนที่วิ่งผ่านตึกนี้เป็นทางหลวงส่วนหนึ่งของทางด่วน ฮันชิน (Hanshin) เครือข่าย (239.3 กม.) จากทางด่วนรอบโอซาก้า โกเบและเกียวโต ส่วนชั้น 5 – 7 ที่หายไป ลิฟท์ที่อยู่ด้านขวาของตึกจะไม่หยุดจอดที่ 3 ชั้นนี้ เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารได้ใช้ชีวิตอย่างปรกติ วิศวกรได้ออกแบบให้มีอุโมงค์ยักษ์ครอบถนนเอาไว้ ดังนั้นผู้ที่อยู่อาศัยในตัวอาคารจะไม่ถูกรบกวนจากเสียงดังของรถที่วิ่งผ่านหรือแรงสั่นสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งจริงๆ นะคะ
ที่มา http://www.japantown.info/post/190
6/26/2557
ตะลุยเที่ยวญี่ปุ่น ตามสถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิต
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณมิลานน้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
หลังจากได้เรียนรู้ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงขั้นตอนการเตรียมตัวต่าง ๆ ก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบเข้าใจง่ายและละเอียดที่สุดแล้ว (จากกระทู้ ใคร ๆ ก็ไปญี่ปุ่นได้ด้วยตัวเอง กับคู่มือการไปเที่ยวญี่ปุ่นฉบับสมบูรณ์) ก็ถึงเวลาตามบันทึกการเดินทางของ คุณมิลานน้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปตะลุยญี่ปุ่นกันแล้วจ้า เอาล่ะ ! พร้อมแล้วก็ไปเที่ยวกันเลยจ้า
ออกเดินทาง
เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลยครับ
วันที่ 1 กรุงเทพ > กัวลาลัมเปอร์ > โตเกียว
ตามกำหนดการเครื่องผมออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 07.05 น. ดังนั้น ตี 4 ผมต้องไปถึงสนามบิน
04.00 น. หาเคาน์เตอร์ airasia ยื่นพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน และโหลดกระเป๋า เมื่อเสร็จเรียบร้อยพนักงานของทางสายการบินก็จะมอบ
- Boarding pass (บัตรที่ใช้ขึ้นเครื่อง) ที่มีเลขที่นั่งและประตูขึ้นเครื่อง (Gate ) ระบุไว้ให้
- Depature card (ขาออก) และ Arrival card (ขาเข้า) ของประเทศไทย << เมื่อได้รับมาแล้ว ก็กรอกทั้งสองใบ (เป็นภาษาอังกฤษ)
^^ ตัวอย่างใบ Depature card (ขาออก) ของไทย
เมื่อกรอกเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินไปเพื่อผ่านขั้นตอนการตรวจคนออกนอกเมือง (เขาจะแยกชาวต่างชาติกับชาวไทย ให้เราเข้าช่องชาวไทย) โดยเดินไปต่อแถวที่เขียนว่า หนังสือเดินทางไทย หรือ Thai passport ยื่นหนังสือเดินทางพร้อมใบ Depature card (ขาออก) และ Aarrival card (ขาเข้า) ให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะถ่ายรูปเรา จะมีกล้องตัวน้อย ๆ อยู่ตรงหน้า เขาจะบอกให้มองกล้อง ก็ทำตาม เมื่อเสร็จก็เดินเข้าไปข้างใน จะเจอขั้นตอนการตรวจหาอาวุธและยาเสพติด เราก็ปล่อยให้เขาตรวจไปตามปกติ หากเราไม่มีของมีคมหรือสิ่งผิดกฎหมายเราก็ผ่านไปได้ (ขอเสริมเรื่องของเหลวที่ไม่ให้เอาขึ้นเครื่องครับ ความจริงเราสามารถเอาของเหลวที่จำเป็นต้องใช้ขึ้นเครื่องได้ โดยแต่ละชิ้นต้องไม่เกิน 100 มิลลิลิตร แต่ปริมาตรรวมของทุกขวดต้องไม่เกิน 1 ลิตร) เมื่อเสร็จทุกขั้นตอน คราวนี้ก็เดินไปยังประตูขึ้นเครื่อง (Gate) ที่ระบุได้เลย คราวนี้ก็รอขึ้นเครื่อง ซึ่งเครื่องก็ออกตรงเวลา คือ 07.05 น.
10.05 น. (เวลามาเลเซียช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมง) เครื่องบินของ airasia ถึงสนามบินในกัวลาลัมเปอร์ คราวนี้เราก็ต้องทำการเปลี่ยนเครื่อง เพื่อทำการบินจากกัวลาลัมเปอร์ไปโตเกียว (ซึ่งเครื่องบินจะออกจากกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 14.00 น.) เมื่อเครื่องลงแตะพื้นสนามบินเราก็ลงจากเครื่อง และเดินไปตามทาง ต่อไปนี้
มองหาป้าย Arrival Hall แล้วเดินตามป้ายไป
เมื่อถึงทางแยกจะเจอป้าย Domestic Arrival Hall กับ International Arrival Hall (ให้ไปตามป้าย International Arrival Hall)
เดินตามป้าย International Arrival Hall ไป
จนป้ายให้เลี้ยวซ้าย ก็เลี้ยวซ้ายตามป้าย
เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าไปจะเจอบันได (ไม่ต้องขึ้นบันไดแต่ให้เลี้ยวซ้าย เข้าห้องกระจกข้าง ๆ)
เข้าไปเลย
เมื่อเข้าไปข้างในก็จะเจอเจ้าหน้าที่มาเลเซียคอยตรวจอาวุธและยาเสพติด
เมื่อผ่านเจ้าหน้าที่ได้ก็จะเจอแบบนี้
หากใครอยากกินอะไร มีธนาคารให้รับแลกเงินเพื่อไปซื้อของอยู่ข้างใน (จริง ๆ แล้วร้านค้ารับเงิน us dollar, euro และเงินเยนในบางร้าน แต่เงินบาทไม่รับ)
ร้านโดนัท ห้องสูบบุหรี่ และเก้าอี้ยาว ๆ แบบนอนได้ อยู่ชั้น 2
ห้องน้ำและน้ำดื่มฟรี อยู่ชั้น 1
** สิ่งที่ควรทราบจากสนามบินในกัวลาลัมเปอร์ คือ ฟรี WIFI, มีน้ำดื่มให้กรอกฟรี (อยู่หน้าห้องน้ำชั้น 1), ห้องน้ำหญิงในช่วงเวลาคนเยอะคอยนานมาก และห้องน้ำกลิ่นแรงพอสมควร
วันที่ 1 ตอนที่ 2
14.00 น. ขึ้นเครื่องแต่กว่าเครื่องจะออกต้องรอนานไปกว่าชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเมื่อเครื่องบินใกล้ถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็จะแจกใบ Depature card (ขาออก) และ Aarrival card (ขาเข้า) ของญี่ปุ่นให้เรา
^^ ใบ Aarrival card (ขาเข้า) ญี่ปุ่น
เมื่อได้มาก็กรอกทั้งใบขาเข้าและออก ซึ่งคำแปลให้ดูในกระทู้นี้ของ คุณติวเตอร์ตู่ ได้เลยครับ >> http://pantip.com/topic/30137065
23.00 น. ถึงสนามบินฮาเนดะ (โตเกียว) จะบอกว่าอากาศข้างนอกเย็นจับใจ ซึ่งผมเดินทางกัน 3 คน คือ ผม แฟน และเพื่อนอีกหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลากลาง ๆ เดือนมกราคม 2557 (ตรงกับหน้าหนาวของญี่ปุ่นพอดี) มาต่อครับ เมื่อเครื่องลงแตะพื้นสนามบินเราก็ลงจากเครื่องและเดินไปตามทางต่อไปนี้
มองหาป้าย Arrivals (เป็นรูปกระเป๋าสีเหลือง ๆ) แล้วเดินตามป้ายไป เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ จะเจอกับด่านตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น
คำถามที่เจ้าหน้าที่ ตม. ของญี่ปุ่นมักถาม (ก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ ตม. อื่นทั่วโลก) คือ คุณมาจากไหน มากี่วัน กลับวันไหน จะไปไหน มากี่คน (เป็นอะไรกัน) พักที่ไหน ทำไมมาญี่ปุ่น เอาเอกสารอะไรมาบ้าง เอาเงินมาเท่าไหร่ (คำถามไม่เกินนี้)
ด่านตรวจคนเข้าเมืองจะแยกเป็นต่างชาติกับญี่ปุ่น (ให้เราเข้าช่องคนต่างชาติ)
เมื่อถึงคิวจะมีคนบอกให้เราไปช่องไหน (ต้องไปตามเขาสั่ง แต่ถ้าเราบอกมาด้วยกัน เขาก็ให้ไปช่องเดียวกันแต่เข้าทีละคน) ตามประสบการณ์ของผมนะ เวลาไปต่างประเทศให้มองหา ตม. แก่ ๆ (เพราะถ้า ตม. อายุน้อยมักจะไฟแรง และจะค่อนข้างเคี้ยว) แต่ญี่ปุ่นเลือกไม่ได้เพราะเขาจัดคิวให้ (ยกเว้นคนจัดคิวไม่ทันมอง) และสุดท้ายผมก็เจอ ตม. อายุน้อย และก็เคี้ยวจริง ๆ
คนแรก (แฟนผม) >> ผ่านไปโดยไม่ถามอะไร
คนสอง (ผม) >> คำถามที่เจอ มากี่วัน จะไปไหนบ้าง
คนสาม (เพื่อนเป็นผู้หญิง ซึ่งไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน และภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้) >> คำถามแรก...? คำถามสอง...? (คือเพื่อนแปลไม่ถูก และเพื่อนก็เรียกผมมา)
ตม. : ซึ่งเขาถามว่ามากี่วัน ?
ผม : 8 วัน (ผมตอบแทนเพื่อน)
ตม. : คุณเป็นใคร (ทำหน้างง ๆ ดุ ๆ) (ซึ่ง ตม. เขาหมายถึงว่าผมมายิ้มอะไร)
ผม : ผมเลยบอกว่าเรามาด้วยกัน เราเป็นเพื่อนกัน
ตม. : ผมไม่ได้ถามคุณ โปรดจงเงียบ
ผม : เขาเป็นเพื่อนผม เขาฟังคุณไม่ถูกหรอกเพราะเข้าฟังและพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เรามาด้วยกันสามคน เรามาเที่ยว 8 วัน เรามีเอกสารพร้อม คุณต้องการดูไหม ?
ตม. : (ด้วยความเคี้ยว มองหน้าเพื่อนแบบดุ ๆ แล้วถามว่า) คุณพูดอังกฤษได้ไหม (คำนี้เพื่อนผมแปลได้ เลยบอกว่า No) ตม. มองหน้าเพื่อนไม่ลดสายตา แล้วก็ก้มหน้าลง แล้วก็ชี้ไปที่กล้อง (ให้เพื่อนผมมองกล้อง) แล้วให้เอานิ้วมาสแกนลายนิ้วมือ และก็ให้ผ่านเข้าประเทศได้อย่างน่าหวาดเสียว
^^ เมื่อไปรับกระเป๋าเสร็จ คืนแรกของผมนอนที่สนามบิน (โดยเฉพาะชั้นบน ๆ ว่างมากนอนได้สบาย)
^^ และหากใครอยากอาบน้ำในสนามบินก็มีห้องอาบน้ำอย่างดีคอยบริการ โดยเปิดบริการ 24 ชั่วโมง (อยู่ชั้น 2 ค่าบริการ คือ ครึ่งชั่วโมง = 1,000 เยน ซึ่งข้างในมียาสระผม สบู่ และไดร์เป่าผมให้อย่างดี)
วันแรกของผมหมดไป ส่วนค่าใช้จ่ายในวันแรกมีแค่ค่ากิน (ส่วนค่าอาบน้ำไม่ต้องเสีย เพราะหนาวจนอาบไม่ลง)
วันที่ 2 โตเกียว-ทาคายาม่า
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนครับว่าทำไมจะไปทาคายาม่า แต่ไปขึ้นลงเครื่องที่โตเกียว ไม่ไปลงนาโกย่า หรือขึ้นโตเกียวกลับโอซาก้า เพราะเนื่องจากผมได้คำนวณค่าใช้จ่าย วัน เวลา และวัตถุประสงค์ความต้องการของผมแล้ว ผมถือว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ตอบโจทย์ผมได้มากสุด เพราะสิ่งที่ผมต้องการไปเห็น คือ ภูเขาไฟฟูจิ ลิงอาบออนเซน ปราสาทแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ และได้เที่ยวในโตเกียวสักวัน ดังนั้น ผมจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปเกียวโต โอซาก้า หรือนารา
** มาต่อกันเลยครับ วันที่สองในช่วงเช้านี้ผมมีโปรแกรมต้องไปซื้อ "คันโตพาส" ที่สถานีโตเกียว และไปขึ้นรถไปทาคายาม่า ที่สถานีชิจูกุ ในเวลา 09.00 น.
วิธีการจองรถบัสจากโตเกียวไปทาคายาม่า
เข้าเว็บ http://www.nouhibus.co.jp/english นี้เลยครับ
เมื่อเข้ามาแล้วกดไปที่ Takayama-Tokyo (Shinjuku) Line
แล้วดูตารางเดินรถจากโตเกียวไปทาคายาม่าครับว่ามีรอบกี่โมงบ้าง (เช้าสุด คือ 07.00 น. ถึงทาคายาม่า 12.30 น.)
เสร็จแล้วกดเลือกที่ Bus Seat Reservation System from Shinjuku, Tokyo
เมื่อเข้ามาแล้วเลือก Shinjuku Highway Bus Terminal > Hida Takayama
เมื่อเข้ามาแล้วเลือกวันเดินทาง (จองได้ล่วงหน้าไม่เกิน 30 วัน) แล้วกด Next แล้วเลือกรอบเวลา จากนั้นกด Next
ระบุชื่อ ระบุจำนวน และเลือกว่าจะไปรอบเดียวหรือไปกลับ
เสร็จแล้วจะมีใบยืนยันการจองมาให้เรา >> ให้เราพริ้นท์ใบนี้ไป ส่วนเงินค่อยไปจ่ายวันเดินทาง
สถานีรถบัสอยู่ใกล้ ๆ สถานี JR ชินจูกุ (ในใบจองมีแผนที่บอก หาไม่ยาก)
05.30 น. ผมตื่นแล้วหาอะไรกิน
^^ ชั้น 4 ของสนามบินมีร้านอาหารที่ตกแต่งในสไตล์เอโดะมากมาย (แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เปิด)
^^ มีร้านนี้ที่เปิด (ขายพวกบะหมี่และราเมน)
^^ วิธีสั่งอาหาร คือ เราไปเลือกเมนูที่ตู้หน้าร้าน >> แล้วหยอดเงินเข้าไปในตู้แล้วเลือกเมนู >> หลังจากนั้นจะมีกระดาษรายการอาหารออกมาจากตู้ >> ให้เรานำไปให้พนักงาน และรอทานได้เลย (ร้านอาหารส่วนมากในญี่ปุ่นใช้วิธีการสั่งอาหารวิธีนี้)
เมื่อกินเสร็จเราก็ออกเดินทาง ตามโปรแกรมที่ผมวางไว้ ผมคิดว่าจะซื้อคันโตพาสใช้ในสามวันสุดท้าย ซึ่งสถานที่และเวลาเปิดทำการ ที่สามารถซื้อคันโตพาสได้ มีดังนี้
Narita Airport Terminal 1 JR EAST Travel Service Center All Days 08.15-19.00 น.
JR Ticket Office All Days 06.30-8.15 น. 19.00-21.45 น.
Narita Airport Terminal 2 JR EAST Travel Service Center All Days 09.30-20.00 น.
JR Ticket Office All Days 06.30-9.30 น. 20.00-21.45 น.
Haneda Airport
International Terminal JR EAST Travel Service Center (Tokyo Monorail 2F Ticket Gate/Arrival Lobby) All Days 11.00-18.30 น.
Tokyo JR EAST Travel Service Center (Marunouchi North Exit) All Days 07.30-20.30 น.
Shinagawa Travel Service Center Weekdays 10.00-20.00 น.
Weekends and Holidays 10.00-18.00 น.
Ueno Travel Service Center Weekdays 10.00-20.00 น.
Weekends and Holidays 10.00-18.00 น.
Shinjuku Travel Service Center (East) Weekdays 10.00-20.00 น.
Weekends and Holidays 10.00-18.00 น.
Shibuya Travel Service Center Weekdays 11.00-20.00 น.
Weekends and Holidays 11.00-18.00 น.
Ikebukuro Travel Service Center (West) Weekdays 10.00-20.00 น.
Weekends and Holidays 10.00-18.00
Yokohama Travel Service Center Weekdays 10.00-20.00 น.
Weekends and Holidays 10.00-18.00 น.
^^ พื้นที่และสถานีที่ใช้คันโตพาสได้
06.30 น. ผมเดินทางออกจากสนามบินฮาเนดะ ซึ่งเมื่อดูจากแผนที่การเดินรถไฟแล้ว
^^ เราอยู่ที่ Haneda Airport การที่เราจะไปสถานีโตเกียวได้ ก็คือ นั่งรถ Tokyo Monorail ไปลงสถานี Hamamatsucho (สุดสาย) แล้วจากสถานีนี้ให้เราเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamanote (สายสีเขียว) เพื่อไปสถานีโตเกียว
^^ เดินไปชั้น 2 ของสนามบิน หาป้าย Tokyo Monorail
^^ ดูสถานีที่เราจะไป (Hamamatsucho) ว่าราคาเท่าไหร่แล้วหยอดเงิน เลือกราคา จำนวนคน แล้วกด >> จะมีบัตรออกมาให้เรา
^^ เมื่อได้บัตรแล้วเดินไปเส้นสีเหลืองจนถึงชานชาลา (เอาบัตรหยอดไปที่เครื่อง เหมือน BTS บ้านเรา)
^^ เดินไปตามทางจนขึ้นรถไฟ บนรถไฟจะบอกว่าถึงสถานีไหนแล้ว เมื่อถึงสถานี Hamamatsucho แล้วให้ลงจากรถ
- เมื่อถึงสถานี Hamamatsucho ให้ลงจากรถแล้วให้มองหาป้ายเขียว ๆ ที่เขียนว่า Yamanote Line เมื่อถึงชานชาลา มันมีซ้ายกับขวา ให้มองดูว่าคำว่า Tokyo ชี้ไปทางไหนให้ขึ้นไปทางนั้น
07.30 น. เวลาที่ทำการขายคันโตพาส เปิดซื้อคันโตพาส พร้อมระบุวันใช้งาน (ซึ่งผมระบุเปิดใช้งานใน 3 วันสุดท้าย) ซึ่งราคาอยู่ที่ 3 วัน 8,000 เยน ผมเดินทางออกจากสถานีโตเกียวเพื่อไปสถานีชินจูกุ ซึ่งเมื่อดูจากแผนที่การเดินรถไฟแล้ว
^^ ผมต้องนั่งรถไฟจากสถานีโตเกียวเพื่อไปสถานีชินจูกุ ด้วยสาย Chuo Line (สายสีส้ม) (วิธีการซื้อตั๋ว และการหาชานชาลาเหมือนที่กล่าวผ่านมาแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนจากมองหาป้าย Yamanote Line มาเป็น Chuo Line)
08.20 น. มาถึงสถานี JR ชินจุกุ เมื่อมาถึงก็เอาแผนที่สถานีรถบัสไปถามทางแก่เจ้าหน้าที่
^^ เมื่อมาถึงเอาใบจองให้พนักงานดูแล้วจ่ายเงิน เขาจะออกตั๋วรถมาให้เรา
^^ ก่อนรถออก 10 นาที รถบัสจะเข้ามาที่ชานชาลา (ต่างจากเมืองไทย ตรงที่เมืองไทยรถบัสจะจอดรอผู้โดยสารเป็นเวลานาน ๆ แต่ในญี่ปุ่น รถคันไหนไม่ถึงเวลาออกก็จะไม่เข้าชานชาลา) ให้เราแสดงตั๋วแล้วขึ้นไปนั่งตามเลขที่นั่งที่ระบุ
** ขอฝากเพิ่มเติม
รถบัสวิ่งระยะทางไกล ข้าง ๆ มีร้านสะดวกซื้อให้ซื้อของกินเตรียมไว้ด้วย (รถบัสจะจอดทุก ๆ ชั่วโมง ให้เราเข้าห้องน้ำและซื้อของกิน แต่จอดไม่นาน)
เมื่อขึ้นรถบัสแล้วมีกฎข้อห้ามอยู่สองข้อ คือ ห้ามเสียงดัง และห้ามเอนเบาะมากจนเกินไป (ถ้ามีคนนั่งข้างหลัง)
รถบัสจะขับไปเรื่อย ๆ ไม่รีบ ปลอดภัย เช่น ถ้ามีรถตามหลังมาแล้วที่เจอแคบ ๆ แซงไม่ได้ คนขับรถบัสจะจอดให้คันอื่นแซงก่อน
(จำข้อนี้ไว้ให้ดี) ตั๋วต้องเก็บไว้ จนถึงตอนลงจากรถ เพราะตอนลงจากรถคนขับรถจะมาขอตั๋วคืน
เส้นทางจากโตเกียวไปทาคายาม่าสวยมาก (เพราะจะผ่านเจแปนแอลป์) ขาไปถ้านั่งด้านขวาได้จะดีมาก เพราะจะได้เห็นวิวสวย ๆ
09.00 น. รถออก (ไม่เร็วและไม่ช้าไปสักนาทีเดียว)
วันที่ 2 ตอนที่ 2
14.30 น. ผมมาถึงทาคายาม่า
เมืองฮิดะ ทาคายาม่า ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุใกล้กับใจกลางของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหุบเขาแคบ เรียงตัวเป็นแนวยาวตัดผ่านระหว่างภูเขาสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่นับไม่ถ้วน มีหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นกระจุกตามสันเขา และมีลุ่มน้ำทาคายามะเป็นลุ่มน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุด สภาพภูมิอากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ก็คือ อุณหภูมิที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่งระหว่างกลางวันและกลางคืน ในช่วงฤดูหนาวหิมะที่กระหน่ำตกลงมา ส่งผลให้ฤดูหนาวของที่นี่หนาวเหน็บ มีอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -15 องศาเซลเซียส ขณะที่ในฤดูร้อนแม้ว่าจะมีแสงแดดส่องประกายจ้าเจิดจรัส แต่เนื่องจากอากาศของที่นี่ไม่ค่อยชื้นมากนัก จึงทำให้รู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทว่าในยามค่ำคืนนั้นกลับหนาวเย็นเสียจนต้องนอนซุกตัวในผ้าห่ม ทุกหนแห่งของที่นี่จะเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่งดงามของธรรมชาติ ห้อมล้อมไปด้วยขุนเขาที่มีความสูงกว่า 3,000 เมตร คือ ภูเขาโนริคุระดาเกะ ภูเขาโฮทาคะดาเกะ และภูเขายาริงะทาเกะ ทางฝั่งตะวันออก, ภูเขาฮะคุซัง ทางฝั่งตะวันตก และภูเขาองตะเกะซังทางทิศใต้ (แหล่งข้อมูล http://www.hida.jp/)
เมื่อมาถึงผมลงจากรถหน้าสถานีรถบัสทาคายาม่า (ติดกับสถานีรถไฟ) ผมก็เดินไปยังโรงแรมที่จองไว้ >>> J Hoppers Hida Takayama ผมนอนด้วยกันแบบสามคน ราคาตกคนละ 1,000 บาท ข้อดีของโรงแรมนี้ คือ สะอาด มีห้องครัว ใกล้สถานี ไม่ไกลจากสถานที่เที่ยว ราคาถูก แต่ข้อเสีย คือ ห้องน้ำรวม (แต่ละชั้นจะมีห้องน้ำ แต่ห้องอาบน้ำอยู่ชั้น 1) เมื่อเช็กอินเสร็จผมก็หาซื้อตั๋วรถไปหมู่บ้านชิราคาวาโกะในวันพรุ่งนี้
ซึ่งราคาแต่ละที่เป็นแบบนี้
ตั๋วของ Nohi bus ไปกลับ 4,300 เยน
ตั๋วของบริษัทนำเที่ยว 3,800 เยน
ซื้อจากโรงแรม J Hoppers 3,300 เยน
* แต่ซื้อจากบริษัทนำเที่ยวและ J Hoppers จะมีเวลาไปเวลากลับค่อนข้างจำกัด (แต่ข้อดี คือ มีไกด์มาบรรยาย) ซึ่งผมก็เลือกแบบถูกที่สุด ซึ่งเลือกไปในรอบ 08.00-12.00 น. (ซึ่งวันหนึ่งมีสองรอบ อีกรอบ คือ 12.00 น.)
15.30 น. ผมออกจากโรงแรมเดินเที่ยวสำรวจเมืองไปเรื่อยเปื่อย ภาพรวม ๆ เมืองทาคายาม่าเป็นเมืองที่สงบนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ (แต่คนไทยเยอะมาก) ช่วงหน้าหนาวหิมะตกหนัก ทำให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยหิมะ ร้านอาหารปิดเร็ว ทุ่มกว่า ๆ ก็ปิดกันหมดแล้ว (ในหน้าหนาวพระอาทิตย์ตกเร็ว) อาหารทั่วไปของทาคายาม่าก็พอกินได้ ไม่ถึงกับอร่อย (เนื่องจากผมไม่กินเนื้อวัว เลยไม่ได้ลองชิมเนื้อวัวที่ขึ้นชื่อของที่นี่) ราคาก็ไม่ถูกและไม่แพง ร้านสะดวกซื้อมีประมาณห้าถึงหกร้าน ส่วนตัวเมืองเก่าก็สวยดี ดูเงียบ ๆ เหงา ๆ เมื่อไปยืนกลางซอยเวลาพลบค่ำเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในสมัยเอโดะยังไงไม่รู้
ถ้าพูดโดยรวม ๆ แล้วผมชอบเมืองนี้มากครับ (ชอบกว่าหมู่บ้านชิราคาวาโกะอีก) ผมว่ามันมีเสน่ห์ เพราะบ้านเรือนและชาวบ้าน คือ เขาใช้ชีวิตประจำวันกันจริง ๆ เวลาเราไปเที่ยวทำให้เราได้เห็นเมืองเก่าพร้อมกับวิถีชีวิตคนแบบจริง ๆ ไม่เหมือนชิราคาวาโกะ คือ ที่สวยจริง แต่ผมว่าดูไปดูมามันเหมือนกับไปเดินเล่นในสวนสนุกซะมากกว่าเดินในหมู่บ้าน เพราะจะเข้าบ้านโน้นก็เสียตังค์ จะเข้าบ้านนี้ก็เสียตังค์ วิถีชีวิตของชาวบ้านก็เหมือนถูกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกลื่อนไปหมดแล้ว เลยไม่ได้เห็นวิถีชีวิตที่เป็นวิถีชีวิตจริง ๆ เหมือนทาคายาม่า
^^^ วัดฮิดะ โคคุบุนจิน
สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้ ได้แก่ ต้นแปะก๊วยอายุกว่า 1,200 ปี เจดีย์สามชั้น รวมถึงอาคารทรงระฆัง ที่ตั้งอยู่ในเขตวัด ซึ่งถูกย้ายมาจากปราสาททาคายามะ และเสาหลักของเจดีย์นั้นก็ถูกสร้างมาตั้งแต่ 1,200 ปีก่อน อาคารหลักของวัดเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองทาคายามะ สร้างขึ้นในยุคมุโรมาจิ (ประมาณ 500 ปีก่อน) วัดแห่งนี้มีคุณค่าคู่ควรแก่การเป็นวัดโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเมืองฮิดะ (แหล่งข้อมูล http://www.hida.jp/)
^^ ชูชกญี่ปุ่นกับสะพานเขียวในมุมไกล (สะพานแดงปิดซ่อมแซมอยู่เลยเอาสะพานเขียวที่ใกล้ ๆ กันมาให้ชมแทน)
^^ วัดฮิดะ โคคุบุนจิน (ภาพจากฟิล์มสไลด์)
^^ เมืองฮิดะ ในมุมเหงา
โดดเดี่ยว และเดียวดาย ท่ามกลางสาย ลมหนาวมา
เหลือแต่ คราบน้ำตา เฝ้าคอยหา คนรักจริง
ถนน และแสงไฟ ทำให้ใจ เกือบหยุดนิ่ง
มองไป เศร้าจริง ๆ เหมือนทุกสิ่ง มันหยุดลง
ค่าใช้จ่ายวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
ตั๋วรถบัสมาทาคายาม่า 6,500 เยน
คันโตพาส 8,000 เยน
โรงแรม 1,000 บาท
ตั๋วรถไป-กลับ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ 3,300 เยน
รถไฟในโตเกียวไม่กี่ร้อยบาท
วันที่ 3 หมู่บ้านชิราคาวาโกะ
05.30 น. ตื่นขึ้นมาฝ่าความหนาวเย็นไปเก็บบรรยากาศ ตอนใกล้เช้าในเมืองฮิดะ
^^ ยามค่ำคืนในเมืองฮิดะ ทาคายาม่า
^^ ยิ่งใกล้เช้ายิ่งเห็นรายละเอียดภาพ
^^ เมืองเก่าทาคายาม่าในเวลาใกล้รุ่ง (ภาพนี้ถ่ายจากกล้องฟิล์ม Horizon รายละเอียดภาพมองไม่ค่อยเห็น แต่เอามุมกว้างเข้าว่า)
08.00 น. ขึ้นรถบัสตรงที่ต้นไม้ใหญ่ หน้าสถานี JR (หากมาก่อนเวลาไม่เจอรถอย่าตกใจ เพราะรถจะมารับเราในเวลา 08.00 น.) เพื่อไปหมู่บ้านชิราคาวาโกะ หากใครหิวแนะนำให้หาของกินที่ร้านสะดวกซื้อตรงข้าม หรือข้าวหยอดเหรียญในสถานีรถบัสข้าง ๆ
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตั้งอยู่บนภูเขาในเขตจังหวัดกิฟูและโทยามา ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วยบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี กระจายไปในแนวเหนือ-ใต้ ตามที่ราบแคบ ๆ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ หมู่บ้านแห่งนี้มีสิ่งที่แปลกตา คือ หลังคาทรงสูงที่มีความชันมากถึง 60 องศากับพื้นดิน จนดูเหมือนคนพนมมือ ภาษาญี่ปุ่นจึงเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าเป็นรูปแบบกัสโช (Gassho-zukuri) ซึ่งแปลว่าสร้างแบบพนมมือ ในปี พ.ศ. 2538 หมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ขึ้นในพริบตา (แหล่งข้อมูล http://cherokee.exteen.com)
09.00 น. หลังจากรถบัสวิ่งออกมาจากเมืองฮิดะได้สักพัก เริ่มเห็นภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยหิมะอยู่สองข้างทางมาราวชั่วโมงกว่า ๆ ก็มองไปเห็นหมู่บ้านชิราคาวาโกะ สุดโด่งดังอยู่ใจกลางหุบเขาเบื้องล่าง
^^ มองไปมองมาเวลาหิมะตกมันก็คล้ายบ้านในการ์ตูนดีเหมือนกันนะ
เมื่อมาถึงรู้สึกได้เลยถึงความหนาวเย็น และบรรยากาศมืด ๆ มัว ๆ ยังไงบอกไม่ถูก แสงก็ไม่มี พื้นดินเต็มไปด้วยหิมะ แต่มันก็ได้ความสวยไปอีกแบบ
^^ เราลงที่จุด A จากนั้นเดินไปเยี่ยม ๆ มอง ๆ ที่ Tourist Information Center (จุด B) แล้วเดินข้ามสะพาน (จุด C) ไปยังหมู่บ้าน จุดที่ห้ามพลาด คือ จุด D และ E ซึ่งเป็นจุดชมวิว ส่วนรถบัสที่จะขึ้นไปจุดชมวิว ขึ้นได้ตรง P (แถวหมายเลข 29) (ข้อมูลและแผนที่จาก http://travelbymyself.com)
วันที่ 3 ตอนที่ 2
^^ ชิราคาวาโกะในมุมสูง
อยู่ไปอยู่มาจะบอกว่าหิมะเริ่มโปรยปราย และยิ่งผ่านยิ่งหนักเข้า หนักเข้า จนมองแทบไม่เห็นอะไร นอกจากสายหิมะที่เทลงมา
^^ บังเอิญเจอตอนเดินเข้าหมู่บ้าน พอมันเห็นคนก็วิ่งหายไปในกองหิมะ
^^ ชิราคาวาโกะ ในมุมมองแบบโลโม่ (ถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์)
วันที่ 3 ตอนที่ 3
12.00 น. กลับมาถึงเมืองทาคายาม่า เมื่อกินข้าวเสร็จก็ออกเดินเที่ยวในเมืองต่อ ซึ่งวันนี้กะว่าจะเดินไปเรื่อย ๆ เจออะไรก็เข้าไปที่นั่น แต่ก็ไม่วายหิมะตก ๆ หยุด ๆ มาเรื่อย ๆ ทำเอาเดินไปหนาวไป ไม่ต่างจากเมื่อเช้า
วัดนี้ชื่อวัดอะไรจำไม่ได้ สวยดี (ถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์)
^^ เป็นอีกหนึ่งวัดสวย ๆ ในฮิดะ ทาคายาม่า
^^ เมืองเก่าทาคายาม่าในยามเย็น
19.00 น. กลับโรงแรม วันนี้นอนที่เดิม J Hoppers Hida Takayama
ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่าที่พัก 1,000 บาท
ทาคายาม่าและชิราคาวาโกะในภาพรวม >> ถือว่าโอเคเลยครับ ได้บรรยากาศบ้านนอก ๆ ดี ไม่วุ่นวาย ไม่จำเจ เหมาะแก่การมาเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทาคายาม่าผมชอบมากจริง
ฮิดะ ยังตราตรึง ให้คำนึง มิรู้หาย
ทรงจำ มิเสื่อมคลาย หรือสิ้นสาย ใยผูกพัน
ชิรา ยังคงที่ อยู่ตรงนี้ หัวใจฉัน
ถึงเปลี่ยน คืนและวัน ไม่ลืมมัน แม้ผ่านนาน
วันที่ 4 ฮิดะ ทาคายาม่า > มัตสึโมโตะ > นากาโนะ
** ตามโปรแกรมวันนี้เราจะต้องไปนอนที่นากาโนะ ซึ่งที่นากาโนะ รามีเป้าหมายอยู่ที่วัดพุทธแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่เราจะไปชมอยู่ที่นั่น แต่ระหว่างทางเราจะแวะไปชมปราสาทสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่มัตสึโมโตะกันก่อน
06.30 น. ตื่นมาเก็บของออกจากโรงแรม ไปสถานีรถบัสของเมืองทาคายาม่า เพื่อไปซื้อตั๋วรถบัสไปมัตสึโมโตะ ราคา 3,000 กว่าเยน (ตั๋วรถบัสไปมัตสึโมโตะต้องซื้อในวันเดินทางเท่านั้น เพราะเขาไม่เปิดให้จองก่อนวันเดินทางแต่อย่างใด) หากใครหิวข้าวตอนเช้าก็หาข้าวทานที่สถานีรถบัสได้เลย เพราะที่สถานีรถบัสมีตู้ขายอาหารหยอดเหรียญอยู่ (รสชาติพอทานได้)
08.00 น. รถบัสจะเข้ามายังชานชาลา ก่อนรถออก 10 นาที เมื่อถึงเวลา 08.00 น. (เวลารถออก) รถก็ออกเดินทางด้วยเวลาที่ตรงสุด ๆ ไม่เร็วและช้าไปสักนาที ถนนเส้นทาคายาม่า > มัตสึโมโตะ เป็นถนนเส้นที่สวยงามมากเส้นหนึ่ง เพราะเป็นถนนเส้นที่ผ่านเจแปนแอลป์ไปตลอดทั้งเส้นทาง รถขับไปเรื่อย ๆ ผ่านทุ่งหิมะขาวโพลน ขุนเขาสูงชัน และลานสกีมากมาย เป็นอย่างนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า รถเริ่มขับลงสู่ที่ราบและก็เข้าสู่เขตเมืองมัตสึโมโตะ
เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) เมืองใหญ่อันดับ 2 ในจังหวัดนากาโนะ (Nagano) มีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 919.35 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากร 227,638 คน ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา อากาศเย็นสบายในฤดูร้อน และหนาวเย็นในฤดูหนาว มัตสึโมโตะเป็นแหล่งปลูกวาซาบิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่ตั้งของปราสาทที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ Matsumoto Castle เป็นปราสาทสีดำทั้งหลังจนได้ชื่อ "ปราสาทอีกา" (Crow Castle) ปราสาทโบราณตั้งอยู่บนกำแพงล้อมรอบด้วยคูน้ำ ตัวปราสาทสร้างเมื่อปี 1593 เพื่อใช้เป็นสถานที่หลบภัยและวางยุทธศาสตร์ ปราสาทมัตสึโมโตะเป็นหนึ่งในปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติและเป็นสมบัติสำคัญของชาติ
10.20 น. รถบัสสุดสาย และจอดข้าง ๆ ห้างสรรพสินค้าตรงข้ามสถานีรถไฟ JR เมื่อลงจากรถสิ่งแรกที่ผมทำ คือ
เดินไปยังสถานีรถไฟ JR เพื่อไปฝากกระเป๋าในล็อกเกอร์รับฝาก (วิธีใช้ล็อกเกอร์ตามสถานีรถไฟ >> http://www.jeducation.com/THAI/photodiary/coinlocker/coinlocker.html)
เมื่อเอากระเป๋าใส่ล็อกเกอร์ เสร็จเรียบร้อย คราวนี้เราก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟของตอนบ่ายที่จะไปนากาโนะ วิธีการของผม ก็คือ ยื่นใบตารางรถไฟที่พริ้นท์มาจากเมืองไทยให้พนักงานดู แล้วก็ชี้ว่าต้องการซื้อรอบนี้พนักงานก็ออกตั๋วให้เรา (ผมซื้อตั๋วรถไปนากาโนะในราคา 1,100 เยน ขึ้นรถเวลา 14.26 น.)
10.40 น. ผมออกเดินเท้าจากหน้าสถานี JR ไปปราสาทอีกา (ปราสาทมัตสึโมโตะ) แต่หากใครไม่อยากเดิน ก็มีวิธีไปตัวปราสาทได้อีกสองวิธี คือ รถบัส ให้รอขึ้นที่ป้ายรถบัสหน้าสถานี JR (รถบัสจะเวียนเป็นวงกลม มีน่าจะทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง) และ Taxi มีอยู่หน้าสถานี JR
วันที่ 4 ตอนที่ 2
11.00 น. ถึงปราสาทมัตซึโมโตะ สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อเข้าไปยังตัวปราสาท คือ ตัวปราสาททรงญี่ปุ่นโบราณสีดำสนิท (สมชื่อปราสาทอีกา) ซึ่งแบล็คกราวน์ด้านหลังเป็นวิวเทือกเขาเจแปนแอลป์ ปราสาทโบราณตัดกับวิวเทือกเขามันช่างดูลงตัวและสวยงามดีจริง ๆ ทั้งนี้ หากใครหิวก่อนเข้าตัวปราสาทมีร้านสะดวกซื้ออยู่ด้านหน้าปราสาท หาอะไรกินได้ครับ
อีกา นั้นโบยบิน ไปยังถิ่น ที่แสนไกล
ไม่รู้ จะวันไหน ที่จะได้ คืนบ้านนา
อีกา วิหกน้อย โผบินลอย กลางเวหา
เมืองไทย ที่จากมา ไม่รู้ว่า เป็นเช่นไร
^^ ภาพปราสาทในยามสะท้อนผืนน้ำ
^^ ภาพปราสาทโทนภาพสีแปลก ๆ (จากฟิล์มสไลด์)
^^ เดินไปอีกมุมของปราสาทก็เจอมุมยอดนิยม คือ ตัวปราสาทกับสะพานแดง แต่เมื่อมาถึงจริงถึงกับปวดหัว เพราะสะพานแดงหามุมถ่ายภาพยากมาก เพราะสะพานแดงเขาปิดเอาโซ่เอาอะไรมาวางให้เต็มไปหมด ด้านล่างในคูน้ำก็สกปรก เพราะเขาเหมือนเอากระสอบทรายสีดำมากั้นมาวางให้เต็ม ดูแล้วไม่สะอาดตาเลยจริง ๆ
^^ หิมะติดเต็มสะพานเลย
^^ ภาพสีสด โทนมืด ๆ สไตล์โลโม่ จากกล้องฟิล์ม 0lympus XA
วันที่ 4 ตอนที่ 3
13.10 น. เราออกจากตัวปราสาทเพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟ เพื่อขึ้นรถไฟไปนากาโนะ โดยใช้วิธีเดินเท้าเหมือนเดิม
13.50 น. ถึงสถานีตอนขากลับเดินนานหน่อยครับ เพราะผมแวะโน้นแวะนี้ไปเรื่อย เมื่อถึงสถานีผมไปเอากระเป๋าแล้วก็ไปที่ชานชาลา (ที่รู้ว่าเราต้องขึ้นรถไฟที่ชานชาลาไหน เพราะผมถามพนักงานขายตั๋วไว้แล้ว) เมื่อถึงชานชาลาเราก็ถามคนที่ยืนรอรถว่า "โทษนะครับ ผมจะไปนากาโนะต้องขึ้นทางซ้ายหรือขวา" เขาก็บอกและแนะนำเป็นอย่างดี
^^ รูปจากชานชลา
14.24 น. รถไฟมาถึงสถานีก่อนเวลาสองนาที (เราก็ไม่กล้าขึ้นไม่รู้ใช่คันนี้ไหม เลยตัดสินใจถามคนที่กำลังจะขึ้นรถไฟ >> คันนี้ไปนากาโนะใช่ไหม พอเขาบอกใช่ก็ขึ้นทันที)
** คราวนี้ขึ้นได้แล้วจะลงยังไง ? ผมมีวิธีมาแนะนำครับ
- ดูใบตารางรถไฟที่เราพริ้นท์มาว่ารถขบวนที่เราขึ้นถึงจุดหมายปลายทางกี่โมง (ส่วนใหญ่ตรงเวลาทุกขบวน ทั้งไปและถึง)
- เมื่อใกล้เวลาให้มองดูป้ายสถานี เขาจะบอกว่าสถานีต่อไปคือสถานีอะไร (เหมือนเมืองไทย)
- ฟังประกาศ
15.45 น. ถึงนากาโนะ เมื่อมาถึงเราก็เดินไปโรงแรมทันที คืนนี้เราพักที่ >> Hotel Sunroute Nagano
โรงแรมนี้ตกแล้วคนละ 900 กว่าบาท หรือพันต้น ๆ/คืน เป็นโรงแรมที่ผมว่าดีและผมชอบที่สุดในทริปนี้เลย เพราะถูก สะอาด ใหม่ ห้องน้ำในตัว ทันสมัย ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ มีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อใต้ตึก ไม่ไกลจากสถานี เตียงนอนสบาย พูดง่าย ๆ คือ ดีเกินราคา แต่ ๆๆ มีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง คือ ห้องเล็กมาก ๆๆ
นากาโนะ เป็นเมืองหลวงของจังหวัดนะกะโนะ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด ใกล้กับเมืองชิกุมะและแม่น้ำซะอิ มีจำนวนประชากรประมาณ 378,059 คน มีพื้นที่ทั้งสิ้น 737.86 ตารางกิโลเมตร นากาโนะเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวครบทุกประเภท แต่คนไทยไม่ค่อยสนใจหรือมองเป็นตัวเลือกหลัง ๆ รองจากเมืองดัง ๆ ที่คนไทยรู้จักก่อนเสมอ ในปี ค.ศ. 1998 นากาโนะเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากชาวโลก เนื่องด้วยว่าในปีนั้นนะกะโนะได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 1998 และต่อมาภาพของนากาโนะก็ถูกมองเป็นเมืองแห่งขุนเขาและสกีไปโดยปริยายนั่นเอง
16.00 น. ผมมีโปรแกรมไปวัดเซ็นโคจิ (zenkoji temple) ซึ่งวัดแห่งนี้มีความสำคัญตรงที่ว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดพุทธแห่งแรกของญี่ปุ่น (ซึ่งดังในหมู่คนญี่ปุ่นมาก แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก)
วัดเซ็นโคจิเป็นวัดที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดนากะโนะ สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 7 ศาลาหลักสร้างด้วยไม้ ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของวัดญี่ปุ่น และได้ทำการบูรณะเมื่อปี ค.ศ. 1701 สมัยก่อนวัดนี้เป็นวัดเดียวที่อนุญาตให้ผู้หญิงเขาได้ ดังนั้น ผู้หญิงจากทั่วญี่ปุ่นจึงมีความปรารถนามาแสวงบุญที่วัดแห่งนี้ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต จนถึงยุคปัจจุบันคนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อว่าวัดนี้ คือ สุดยอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนญี่ปุ่นที่ต้องมาแสวงบุญให้ได้สักครั้ง
เซ็นโคจิ ยามค่ำคืน ตระหง่านยืน กลางแสงจันทร์
หมู่ดาว เรียงร้อยพัน ส่องแสงกัน ระยิบมา
โคมไฟ ที่ข้างเสา แสงเบา ๆ ที่ข้างฝา
ที่เห็น ด้วยสองตา คือคุณค่า ของแผ่นดิน
วิธีไปวัดเซ็นโคจิ
- ขาไปให้นั่งรถไป ขากลับเดินกลับมา (เพราะขาไปขึ้นเนิน ถ้าเดินไปเหนื่อยแน่)
- หาป้ายรถเมล์ ขึ้นรถแล้วถามเขาว่าไปวัดเซ็นโคจิไหม ถ้าใช่ก็ไป ไม่ใช่ก็ลง
- นั่งไปให้ถึงป้าย Zenkoji Daimon แล้วลง ก่อนลงหยอดเงินค่าโดยสารหน้ารถ 100 เยน
^^ แผนที่ไปวัด
^^ เมื่อลงจากรถสิ่งที่จะเจอ คือ ประตูใหญ่ ๆ แบบนี้
หมดไปอีกหนึ่งวัน สรุปโดยรวมกับมัตซึโมโตะและนากาโนะ ถือว่าดีเลยครับ ไม่หนาวจนเกินไป มีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างให้ชม และขอฝากนิดนึงว่าร้านอาหารญี่ปุ่นแถวหน้าสถานีรถไฟดีมาก (มีหลายร้าน) อาหารอร่อย บริการดี ราคาไม่แพง
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณที่ผมจ่ายไป (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่ารถบัสมามัตซึดมโตะ 3,000 เยน ( 900 กว่าบาท)
- รถไฟไปนากาโนะ 1,100 เยน (300 กว่าบาท)
- โรงแรม 1,000 บาท
- และค่ารถไปวัด 30 กว่าบาท
วันที่ 5 ยูดานากะ (ยามาโนชิ มาชิ)
วันนี้ขึ้นโปรแกรมด้วยชื่อเมืองอะไรแปลก ๆ เลยครับ (ยามาโนชิ มาชิ หรือคนทั่วไปจะรู้จักในชื่อสถานี Yudanaka) เมืองนี้มีอะไร ? จะบอกเลยครับเป็นเมืองค่อนข้างบ้านนอกถึงนอกที่สุด ร้านสะดวกซื้อหายากมาก ๆๆๆ ร้านอาหารถ้าเลยสองทุ่มไปไม่ต้องหา (เพราะปิดหมด) แต่เมืองนี้ที่เราต้องไปเนื่องจากมีของดีอยู่สองอย่าง คือ ลิงแปลกประหลาด เมื่อเวลาหนาว ๆ พวกมันจะพาลูกพาหลานลงมาจากป่าเขา เพื่อมาแช่ออนเซน คลายหนาว เหมือนคนยังไงยังงั้น และเมืองนี้มีดีเรื่องออนเซน จะบอกว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่ออนเซน (เหมือนกับพุกาม มองไปทางไหนก็เจอแต่เจดีย์)
06.21 น. คือเวลารถออกจากสถานีนากาโนะ วันนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาก ๆๆ เพราะกะว่าให้ทันรถไฟเที่ยวนี้ ซึ่งเป็นรถไฟท้องถิ่น (สถานีรถไฟท้องถิ่นไม่ได้อยู่ที่เดียวกับสถานี JR แต่อยู่ข้าง ๆ กัน)
^^ สถานีท้องถิ่น คือ Nagano Dentetsu Station
เมื่อไปถึงสถานีก็ซื้อตั๋วรถไป Yudanaka ราคา 1,130 เยน ซึ่งตารางรถไฟจะออกจากนากาโนะแล้วไปหยุดที่ชินชุนากาโนะ (shinshunakano) ตอนเวลา 07.06 น. ที่ชานชาลา 4 แล้วเราต้องเปลี่ยนรถไป Yudanaka ที่สถานีนี้ ที่ชานชาลา 3 ซึ่งรถจะออกจากสถานีเวลา 07.17 น. (มีเวลาเปลี่ยนรถ 11 นาที)
สงสัยไหมครับว่าผมรู้เวลารถออก เวลาเปลี่ยนรถ และชานชาลาได้ยังไง ?
- เวลารถออกและเวลาเปลี่ยนรถ ตามที่เคยบอกมาว่าดูจาก ใบที่พริ้นท์มาจากเมืองไทย
- ชานชาลา เอาใบที่พริ้นท์มาให้พนักงานขายตั๋วดู แล้วถาม "รถขบวนนี้ต้องขึ้นชานชาลาไหนครับ"
07.33 น. ถึงสถานียูดานากะ เมืองยามาโนชิ มาชิ จะบอกว่าสิ่งที่เห็นครั้งแรกด้วยสองตา คือ ชอบครับ ชอบมาก ๆ เพราะชนบทจริง ๆ คุณคิดภาพสถานีเล็ก ๆ ในต่างจังหวัดเมืองไทยดูนะครับ (ที่นี่เหมือนกันยังไงยังงั้นเลย) ที่นี่มีล็อกเกอร์รับฝากกระเป๋าเหมือนกันครับ แต่กระเป๋าใบใหญ่หมดสิทธิ์ ไม่มีที่เก็บเพราะมีแต่ล็อกเกอร์ใบเล็ก ๆ
^^ ภาพสถานีถ่ายมุมกว้างจากกล้อง Horizon
^^ ภาพยืนยันว่าสถานีนี้ไกลปืนเที่ยงจริง ๆ เพราะเป็นสถานีสุดทางของรถไฟ (ถ่ายด้วยฟิล์ม ฟิล์มสไลด์)
^^ แต่เมืองนี้ก็มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายรูปพอสมควร
วันที่ 5 ตอนที่ 2
07.50 น. ผมออกจากสถานีเผื่อจะเอาของไปฝากที่โรงแรม วันนี้เราจะพักที่โรงแรม >> Senshinkan Matsuya
วันนี้โรงแรมที่เราพักเป็นโรงแรมที่แพงที่สุดในทริปนี้ ราคาตกคืนละประมาณ 1,500 บาท/คน (ไม่รวมอาหารถ้าเพิ่มอาหารก็อีกราคาหนึ่ง) เป็นโรงแรมแบบญี่ปุ่นโบราณ ปูห้องด้วยเสื่อทาทามิ มีชุดประจำชาติให้ใส่ (ยูกาตะ) มีออนเซนให้อาบ มีห้องส้วมในตัว โดยรวมผมไม่ชอบโรงแรมนี้ครับ เพราะผมฝั่งใจเจ็บตรงที่หาของกินไม่ได้ (ซึ่งคืนนั้นผมไม่ได้กินอาหารเลย พอย้อนกลับมาจะมากินที่โรงแรมเขาบอกครัวปิด ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาแค่ทุ่มกว่า ๆ แต่ภาพรวมก็โอเคครับ)
เราจะไปที่พักด้วยการใช้บริการรถประจำทาง ซึ่งขึ้นได้ที่หน้าสถานีรถไฟ (ถ้าใครไม่รู้ว่าลงป้ายไหนให้ไปถามพนักงานของสถานี เขาจะให้แผนที่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วจะแนะนำเราเป็นอย่างดีว่าสถานที่ไหน โรงแรมไหน ลงป้ายไหน)
08.30 น. เมื่อเอาของฝากโรงแรมแล้ว (ยังเช็กอินไม่ได้ เพราะจะเช็กอินได้ตอนบ่าย 3) คราวนี้เราก็จะเดินทางไป "Snow Monkey Park" ซึ่งการเดินทางมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ รถประจำทาง (แต่คอยนาน เพราะนาน ๆ ถึงจะผ่านไป Snow Monkey Park รู้สึกว่าเขาจะมีเป็นรอบ ๆ และแต่ละรอบคอยนานมาก ) ราคาก็น่าจะอยู่ราว 200 กว่าเยน ถ้าใครจะไปโดยรถบัสให้ที่ลงป้าย Kanabayshi Osen และ Taxi มีอยู่หน้าสถานีรถไฟ หรือให้โรงแรมเรียกมาให้ (ซึ่งค่าบริการการเรียกต้องจ่ายให้คนขับเพิ่มประมาณ 180 เยน) ซึ่งผมก็เลือกบริการ Taxi ไปส่งถึงที่ราคา 1,200 เยน ซึ่งไปกันสามคนตกคนละ 400 เยน พอ ๆ กับรถประจำทาง ที่สำคัญ คือ สะดวกกว่า แล้วเมื่อไปถึงก่อนเขากลับผมก็ไม่ลืมที่จะขอเบอร์เขาไว้ (เผื่อเวลากลับต้องการใช้บริการ)
08.40 น. มาถึง Snow Monkey Park แต่ยังไม่ถึงที่ที่ลิงอาบออนเซน (ต้องเดินไปอีก ไกลพอสมควร)
^^ วิวสวย ๆ ระหว่างทาง สายน้ำและหิมะ
^^ เมื่อเดินเข้ามาสักระยะยาว ๆ ก็จะเห็นภาพมุมนี้ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว (ภาพมุมกว้างจากกล้องฟิล์ม Horizon)
^^ ภาพที่ถ่ายจากฟิล์มสไลด์ มันจะมีเม็ดขาว ๆ ซีด ๆ (เกรนภาพ) ทำให้ได้อารมณ์แบบโบราณ ๆ อยู่ในตัว
^^ ภาพมุมสูงเมื่อถ่ายจากฟิล์มสไลด์ ก็ทำให้ได้ภาพดิบ ๆ ไปอีกอารมณ์หนึ่ง
^^ เมื่อเดินมาสักระยะยาว ๆ ผ่านจุดชมวิวในมุมสูง และเสียค่าเข้าชมเรียบร้อยภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือ ฝูงนักท่องเที่ยวกำลังถ่ายรูปฝูงลิงที่กำลังแช่ออนเซนกันอยู่
^^ แม่พาลูก ๆ มาแช่ออนเซน
^^ นั่งหนาว ๆ อยู่ขอบบ่อ
^^ สบายสุด ๆ แช่ไปเมียหาเห็บ หาหมัดให้ไป ฟินไปตาม ๆ กัน
^^ ภาพพาโนรามา จากกล้อง Horizon
^^ อีกภาพด้วยมุมพาโนรามา จากกล้อง Horizon
วันที่ 5 ตอนที่ 3
12.00 น. เดินออกมาหาอะไรกิน (ทางเข้า Snow Monkey Park มีร้านอาหาร ขายพวกข้าว บะหมี่ ราเมน ซูชิ) เรานั่งกินไปเรื่อยเปื่อย รสชาติอร่อยมากโดยเฉพาะ *มันหวานทอด และร้านนี้อร่อยเกือบทุกอย่าง แต่คอยนานหน่อยครับ เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะ แต่มีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว
^^ ศาลเจ้าเล็กข้าง ๆ ร้านที่เราทานอาหาร (ถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์)
เมื่อกินกันจนอิ่ม ก็กะว่าจะมาคอยรถประจำทางกลับโรงแรม แต่รถประจำทางจะมาอีกทีชั่วโมงกว่า (สุดท้ายก็ต้องโทรเรียก Taxi คันเดิม)
14.00 น. ตามโปรแกรมเรากะว่าจะไปสกีรีสอร์ท แต่อยู่ ๆ ก็เหนื่อยและหมดแรง เลยขอเปลี่ยนโปรแกรม เป็นเดินเที่ยวในเมืองแทน โปรแกรมไปเล่นสกีเอาไปไว้ตอนกลางคืน (สกีรีสอร์ทที่นี่เปิดให้ใช้บริการในเวลากลางคืนด้วย) ซึ่งก็ดีไปอีกแบบ เพราะเนื่องจากว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์การเล่นสกีในตอนกลางคืนกันมาก่อนเลย จึงเป็นโปรแกรมที่น่าสนใจ (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเพราะเหนื่อย) เมื่อมาถึงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยูกาตะ (ซึ่งมีคนของทางโรงแรมมาสอนและบอกวิธีใส่แก่เรา) แล้วเดินชมเมือง ไม่ต้องอายครับ เพราะเมืองนี้นักท่องเที่ยวเกิน ร้อยละ 70 จะใส่ชุดยูกาตะเดินไปเดินมา
^^ ใส่ชุดยูกาตะเดินรอบเมืองครับ
^^ ตามที่เล่าไปก่อนหน้าครับว่าเมืองนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่ออนเซน
^^ และนี้ก็ออนเซน
18.00 น. ตอนแรกคิดว่าจะหาออนเซนที่ไหนแช่ดี คิดไปคิดมาก็แช่ซะที่โรงแรมซะเลย ใกล้ดี แช่เสร็จก็ขึ้นนอนได้สบาย
19.20 น. หาร้านอาหาร แต่เดินเป็นกิโลเมตร ๆ ก็ไม่เจอร้านอาหาร (จริง ๆ ข้างโรงแรมมีร้านอาหาร แต่วันที่เราไปดันปิด) สิ่งที่พบเห็นระหว่างเดินหาร้านอาหารเท่าที่สังเกตได้มีอยู่สามอย่าง คือ 20% เป็นร้านของฝาก 40% เป็นออนเซนแบบไม่มีโรงแรม และ 40% เป็นโรงแรมที่มีเป็นออนเซน
สรุปคืนนั้นก็อดกินอะไร ผ่านไปอีกวันหนึ่งสำหรับเมือง Yamanouchi Machi จะบอกว่าถ้าใครชอบแสงสี ชอบความเจริญ โปรดอย่ามาพักในเมืองนี้ แต่ถ้าใครอยากสัมผัสคำว่าชนบทของญี่ปุ่นแบบจริง ๆ อยากอาบออนเซนในแหล่งคุณภาพ เมืองนี้เป็นคำตอบที่ดีเลยทีเดียว
ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่ารถไฟ 1,100 เยน
- ค่า Taxi ไปกลับคนละ 800 เยน
- ค่าโรงแรม 1,500 บาท ต่อ 1 คน
วันที่ 6 ยูดานากะ >> โตเกียว
ตามโปรแกรมวันนี้เราจะเริ่มใช้ "คันโตพาส" เป็นวันแรก เพื่อนั่งชินคันเซ็น (Shinkansen) กลับโตเกียว แต่ คันโตพาสจะใช้ขึ้นชินคันเซ็นได้ฟรีได้ในสถานี Komoro หรือ Saku-Daira ดังนั้น เราจึงต้องหาวิธีไปสถานีที่กล่าวมาด้วยวิธีที่ถูกที่สุด (ถ้าวิธีง่ายสุด คือ นั่งตรงไปจากนากาโนะเลย แต่ก็หลายตังอยู่) ดังนั้น ผมจึงเลือกเดินทางด้วยวิธีที่ต้องต่อหลายต่อหน่อย แต่ถูกและเวลาไม่ต่างกันมากจนเกินไป
06.30 น. โทรศัพท์ให้ Taxi มารับและไปส่งที่สถานีรถไฟ ราคาค่าบริการตกคนละ 200 กว่าบาท
07.17 น. ขึ้นรถไฟกลับนากาโนะ (ซึ่งเหมือนขามา) ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ Shinshunakano
08.13 น. ถึงสถานีนากาโนะ ต้องเปลี่ยนจากสถานีท้องถิ่น (สถานีที่เราลงจากรถไฟ) ไปสถานี JR ที่อยู่ ข้าง ๆ กัน เมื่อไปถึงเราก็ทำการซื้อตั๋วไป Komoro ด้วยรถหวานเย็น (ราคา 1,120 เยน = 300 กว่าบาท) แต่ถ้าเรานั่งจาก Nagano ไปที่ Saku-Daira (แบบไม่เปลี่ยนสาย ราคาจะอยู่ที่ 3,000 กว่าเยน) ดังนั้น วิธีของผมจึงทำให้ประหยัดเงินได้คนละ 600 กว่าบาท
09.16 น. รถออกจากนากาโนะ (ถ้าหิวก็ซื้ออาหารกินได้ในสถานีเลย มีข้าวกล่องขายมากมายหลายอย่าง)
10.18 น. รถถึงสถานี komoro (สถานีนี้เราใช้คันโตพาสได้แล้ว) เมื่อถึงเราก็ไปรอขึ้นรถต่อไปที่ Saku-Daira (หากมีเวลาเหลือลองเดินออกไปดูนอกสถานีดูครับ วิวสวย มีภูเขาลูกหนึ่งหน้าตาคล้าย ๆ ภูเขาไฟฟูจิเลย ถ้าเรามองจากสวนหย่อมข้าง ๆ สถานียิ่งทำให้เห็นชัด)
11.00 น. ขึ้นรถไป Saku-Daira (ก่อนขึ้นต้องออกจากสถานี แล้วแสดงตั๋วรถไฟหรือคันโตพาสให้พนักงานดูก่อน แล้วถึงจะเข้ามาได้)
11.14 น. ถึง Saku-Daira ลงจากรถไฟแล้วเดินลงไปข้างล่าง (เพราะรถชินคันเซ็นชานชาลามันอยู่ด้านล่าง) ก่อนลงบันไดมีคนมาขอดูตั๋ว เราก็แสดงคันโตพาสให้เขาดู เมื่อผ่านไปได้มองหาป้ายที่เขียนว่า "ชินคันเซ็น" แล้วเดินไป (ก่อนเข้าชานชาลาต้องแสดงคันโตพาสให้เขาดูอีกรอบ)
11.32 น. ชินคันเซ็นมาถึงสถานี Saku-Daira แล้วมุ่งหน้าไปโตเกียว
12.35 น. ถึงสถานีอูเอโนะ (โตเกียว) เราลงที่สถานีนี้
วันที่ 6 ตอนที่ 2
ตามโปรแกรม คือ เราจะเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมก่อน ซึ่งคืนนี้โรงแรมที่เราจะนอน ได้แก่ Best Hotel Tokyo
ราคา 800 กว่าบาทต่อคน ข้อดี คือ ใกล้สถานี (Shin-Okubo) ห้องน้ำในตัว ห้องส้วมแยกต่างหากจากห้องน้ำ (อยู่ในห้องนอน) มีห้องสำหรับล้างมือและแต่งตัว ห้องไม่แคบจนเกินไป อยู่ใจกลางเมือง หาของกินง่าย ราคาถูกมาก แต่ข้อเสีย คือ โรงแรมดูเก่า ๆ ห้องอาบน้ำกระจกใส ๆ (คือถ้าไปกับเพื่อน เพื่อนอาบน้ำ เรามองเห็นจากข้างนอกแน่นอน) และนอนกับเสื่อทาทามิ (แต่ผ้าปูนอนบางมาก ๆๆๆๆ) กลิ่นบุหรี่ค่อนข้างแรง แต่โดยรวมเมื่อเทียบกับราคาขนาดนี้ผมถือว่า ok สุด ๆ อยู่ใจกลางเมือง ใกล้สถานีรถไฟ ห้องน้ำในตัว ที่อื่นหายากครับราคานี้
^^ มาต่อครับ หยิบแผนที่ขึ้นมาดู
ตอนนี้เราอยู่ Ueno แต่เราจะไป Shin Okubo เราต้องนั่งรถไฟสาย Yamanote Line สายสีเขียววนไปทางขวา)
12.50 น. มองหาป้ายเขียว ๆ เขียนว่า Yamanote Line แล้วเดินไป พอถึงชานชาลาหากขึ้นไม่ถูก หรือไม่รู้ว่าจะไปซ้ายหรือขวาให้ถามเขาเอา หรือให้มองดูว่าสถานี Uguissudani (สถานีถัดไป) ไปซ้ายหรือขวา ถ้าสถานีดังกว่าบอกขึ้นทางไหน ก็ให้เราขึ้นทางนั้น
13.30 น. นั่งรถผ่านไป 11 สถานี ถึง Shin Okubo เอาของฝากที่โรงแรม
14.00 น. เดินเล่นไปเรื่อย ไปจนถึงสถานีชินจูกุ (ไม่ไกลจากที่พัก) หาอะไรกิน
15.00 น. ขึ้นรถไฟที่สถานีชินจูกุ เพื่อไปชมวิวโตเกียวทาวเวอร์ในตอนกลางคืน ที่ตึกโมริ
วิธีไปตึกโมริ
ขึ้นรถไฟสาย Yamanote Line (ซึ่งขึ้นฟรีแค่แสดงคันโตพาส)
ลงที่สถานี Ebisu
ไปสถานีรถใต้ดินที่สถานี Ebisu (ซึ่งคันโตพาสจะใช้กับรถใต้ดินไม่ได้)
นั่งไปสองสถานีก็ถึงสถานี Roppongi
16.00 น. ไปอาคารอาซาฮี (อยู่ข้าง ๆ ตึกโมริ) ไปถ่ายรูปเล่นกับห้องโนบิตะและโดราเอมอน ** บริษัททีวีอาซาฮีได้ลิขสิทธิ์ทำและฉายโดราเอมอนฉบับการ์ตูนทีวี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ดังนั้น ในบริษัทจึงมีมุมเล็ก ๆ ทำเป็นห้องของโนบิตะให้คนเข้ามาชมและถ่ายรูป
วันที่ 6 ตอนที่ 3
17.00 น. ขึ้นไปชมมหานครโตเกียวบนตึกโมริ (ตึกโมริ รปปงกิฮิลล์)
ทำไมต้องขึ้นไปตึกโมริ ?
มองเห็นมหานครโตเกียวได้สุดลูกหัวลูกตา
มองเห็นอ่าวโตเกียวได้ในมุมกว้าง
มองเห็นโตเกียวทาวเวอร์อยู่ตรงหน้าแบบใกล้ ๆ
ซึ่งตึกโมริเปิดบริการตั้งแต่เวลา 09.00-01.00 น. ของทุกวัน ราคาค่าเข้าชม 1,500 เยน (ถ้าจำไม่ผิดนะ) เมื่อไปถึงตึกโมริให้ถามพนักงานว่า Tokyo City View ไปทางไหน
^^ โตเกียวในมุมใกล้มืด
^^ ภาพแปลก ๆ มุมสูง ถ่ายจากกล้อง Horizon
^^ ฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท แต่มีพระจันทร์ขึ้นมาให้เห็นแล้ว
^^ ฟ้าเริ่ม ๆ มืด เริ่มเห็นรถวิ่งกันเป็นสาย
^^ มหานครโตเกียวในยามค่ำคืน
19.30 น. กลับที่พัก
ค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- รถไฟไป Nagano 1,130 เยน
- รถไฟไป Komoro 1,120 เยน
- Taxi และรถใต้ดิน รวมกัน 300 กว่าบาท
- ค่าขึ้นตึกโมริ 1,500 เยน
- โรงแรม 800 กว่าบาท
วันที่ 7 โตเกียว >> คาวากุจิโกะ
คาวากุจิโกะ คืออะไร ?
คาวากุจิโกะ เป็นทะเลสาบหนึ่งในทะเลสาบทั้ง 5 ของภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบฟูจิทั้งห้า (Fuji Five Lakes) เป็นชื่อเรียกพื้นที่บริเวณรอบฐานของภูเขาไฟฟูจิ ในจังหวัดยะมะนะชิ ประเทศญี่ปุ่น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,000 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุ ชื่อของทะเลสาบฟูจิทั้งห้ามาจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีทะเลสาบ ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟฟูจิทั้ง 5 ทะเลสาบ คือ ทะเลสาบคะวะงุชิ ทะเลสาบโมะโตะซุ ทะเลสาบไซโกะ ทะเลสาบโชจิ และทะเลสาบยะมะนะกะ เมืองที่สำคัญในบริเวณนี้ คือ เมืองฟุจิโยะชิดะ จุดที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียงนี้ คือ ป่าอะโอะกิงะฮะระ ทะเลสาบฟูจิทั้งห้าได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมกันกับภูเขาไฟฟูจิ อุทยานแห่งชาติฟุจิ-ฮะโกะเนะ-อิซุ และน้ำตกชิระอิโตะภายใต้ชื่อ "ฟุจิซัง-สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งบันดาลใจทางศิลปะ" เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 (แหล่งอ้างอิง วิกิพีเดีย)
วันนี้เป็นวันที่เราจะไปตามหาฟูจิกัน ซึ่งภูเขาไฟฟูจิเป็นภูเขาที่ขึ้นชื่อว่าเห็นยอดเขายากมากแห่งหนึ่งของโลก เนื่องด้วยมันเป็นภูเขาไฟที่สูงมาก ทำให้มีโอกาสที่เมฆหมอกจะบดบังปลายยอดเขาได้สูงเช่นกัน ด้วยความที่ผมมีเวลาแค่วันเดียว ถ้าพลาดไม่เห็นวันนี้วันอื่นไม่มีสิทธิ์มาดูแล้ว เพราะตามโปรแกรมพรุ่งนี้ต้องกลับเมืองไทยแล้วนั่นเอง ผมจึงคิดสูตรดูภูเขาไฟฟูจิของผมมาดังนี้ >>> "อยู่ตั้งแต่เช้ายันมืด ไม่เห็นไม่กลับ" ซึ่งผมบอกกับคนร่วมทริปว่าขอวันหนึ่งนะ เอาแบบไม่ต้องเที่ยวที่ไหนเลยวันนี้ ขอนั่งรอฟูจิสักวัน ไม่เห็นเต็มสองตาไม่ขอกลับ แต่ถ้าได้เห็นแบบเต็ม ๆ ตาจะอยู่ไม่นานก็จะกลับเลย
ตามที่สังเกตจากที่หลายคนไปมาพอจะสรุปได้ ดังนี้ (เกี่ยวกับวิวภูเขาไฟฟูจิ)
ไม่มีวันไหนฟ้ามันจะปิดจนไม่เห็นยอดไปทั้งวัน ยกเว้นวันที่อากาศไม่ดี มีเมฆหมอก เหมือนฝนจะตก
ไม่มีวันไหนฟ้าจะเปิดทำให้เห็นยอดไปทั้งวัน เพราะฟูจิเป็นหยอดสูง (เสียดเมฆ) เห็นยอดไม่นานกลุ่มเมฆก็ลอยมาบัง
เวลาเช้า ๆ และเวลาเย็น ๆ มีโอกาสเห็นมากกว่าตอนเที่ยง ๆ และบ่าย ๆ
** จึงขอแนะนำว่าหากใครอยากเห็นฟูจิแบบแน่นอน ให้ไปนอนใกล้ ๆ ฟูจิสักคืน หรือรอเวลาที่กลุ่มเมฆจะเคลื่อนตัวออกจากยอดภูเขา (ในกรณีที่อยู่ญี่ปุ่นไม่กี่วัน หรือเลือกไปตามวันที่พยากรณ์อากาศว่าฟ้าแจ่มใส ไม่ได้) ดังนั้น การตามล่าหาฟูจิของผมในเส้นทางและสถานที่ที่มีสิทธิ์เห็นภูเขาไฟฟูจิได้ง่ายที่สุด ก็คือ >>> ทะเลสาบคาวากุจิโกะ
การเดินทางไปคาวากุจิโกะไปได้หลายวิธี แต่วิธีที่เขานิยม ได้แก่
ไปรถบัส ซึ่งนั่งจากสถานีชินจุกุ หากใครสนใจเดินทางด้วยวิธีนี้ลองดูกระทู้นี้ครับ >> http://pantip.com/topic/30811241
รถไฟนั่งจากสถานี JR ชินจุกุ ด้วยรถสาย Limited Express ซึ่งมีห่างประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง (ถ้าเป็นสาย Local Trains ไปถึงเหมือนกัน แต่นาน และต้องเปลี่ยนสาย)
06.30 น. เราตื่นมาขึ้นรถไฟที่สถานี Shin Okubo (ใกล้โรงแรม) นั่งมาสถานีเดียวก็ถึงสถานี Shinjuku เมื่อถึงให้เรามองหาป้ายสีชาเย็น (เหลืองอมส้ม) ป้ายสีดังกล่าวจะเขียนว่า "Chuo Line (Rapid Service)" ** ซึ่งการเดินทางของเราวันนี้ทั้งวัน ฟรี ๆๆๆ เพราะเรามีคันโตพาส (ไปถึงยันคาวากุจิโกะ)
07.00 น. รถขบวนนี้จะจอดรอรับคนอยู่แล้ว (ให้สังเกตรถจะเขียนว่า Azusa หรือให้แน่นอนลองถามคนดูว่ารถคันนี้ไป Otsuki ใช่ไหม) เมื่อเวลา 07.00 น. รถคันนี้ก็ออก ระหว่างทางพนักงานจะขอดูตั๋วรถ ให้เราเอาคันโตพาสให้เขาดู ซึ่งรถไฟขบวนนี้จะวิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่จอดที่ไหนเลย ซึ่งตอนที่ผมไปสถานีแรกที่รถขบวนนี้จอด คือ สถานี Otsuki ซึ่งให้เราลงสถานีนี้เพื่อต่อรถไปคาวากุจิโกะ
07.55 น. เราไปถึงสถานี Otsuki ให้เรามองหาป้าย Kawaguchiko แล้วเดินไป เมื่อถึงทางเข้าเขาจะขอดูตั๋ว ให้เราแสดงคันโตพาสให้เขาดู (แต่ JR Pass ใช้ไม่ได้กับสถานีนี้นะครับ ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม)
08.15 น. ขึ้นรถจาก Otsuki (จุดหมายแรกตอนนั้นยังไม่รู้ แต่คิดในใจว่าถ้าเห็นยอดฟูจิระหว่างทาง จะแวะที่เจดีย์แดงหรือ Chureito Pagoda ก่อน ถ้าไม่เห็นในกรณีฟ้าปิด จะไปที่ทะเลสาบ เที่ยง ๆ บ่าย ๆ ค่อยกลับมาที่เจดีย์แดง)
^^ รายชื่อสถานี
08.45 น. แม้ฟ้าจะมืด ๆ เมฆมากพอสมควร แต่เราก็โชคดีที่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็ม ๆ เราจึงตัดสินใจที่จะลงไปที่เจดีย์แดง (Chureito Pagoda) ก่อนที่สถานี Shimoyoshida ซึ่งเมื่อลงรถแล้วออกจากสถานี เลี้ยวขวา เดินไปเรื่อย ๆ จนสุดถนน เลี้ยวขวาข้ามทางรถไฟ เดินไปตามถนน เห็นทางด่วนอยู่ด้านหน้า เดินลอดใต้ทางด่วนไป เจอบันไดให้เดินขึ้นบันไดไปจนสุด
วันที่ 7 ตอนที่ 2
สูงกว่า ภูผาไหน ไม่มีใคร มาเทียบทัน
วันที่ 7 ตอนที่ 3
11.00 น. กลับมาที่สถานีรถไฟ (มาคอยรถไปคาวากุจิโกะที่สถานีรถไฟ) ก่อนเข้าสถานีก็แสดงคันโตพาส (เหมือนเดิม) เมื่อรถไฟมาถึงก็ขึ้นรถไฟ นั่งไปลงที่สถานี Kawaguchiko คราวนี้ทุกมุมไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน ก็จะเห็นแต่ฟูจิอย่างเต็ม ๆ ตา ผมตัดสินใจวางกล้องแล้วเข้าร้านอาหารตรงข้ามสถานี Kawaguchiko (ร้านอาหารอยู่ชั้น 2 ส่วนชั้น 1 เป็นร้านขายของที่ระลึก) และผมก็เลือกร้านไม่ผิด (รสชาติธรรมดา แต่วิวสวยอย่างบอกใคร) เพราะร้านนี้เมื่อมองออกมานอกกระจก ก็คือ วิวฟูจิลูกใหญ่ ๆ อยู่ตรงหน้าเราเลย
13.00 น. ผมนั่งมองฟูจิอยู่นาน (จนติดตา) พอกินข้าวเสร็จผมก็บอกกับเพื่อนร่วมทริปว่า "ไป กลับกัน เราทำตามสัญญา เห็นแล้วก็กลับ มา Kawaguchiko ถือว่ามากินข้าว พวกเธอ ๆ ว่าไงกันบ้าง" <<< พวกผู้หญิงตอบเป็นเสียงเดียวกัน "กลับไปโตเกียวไปช้อปปิ้ง" (แต่จริง ๆ แล้ว ผมจะปล่อยให้พวกเธอไปช้อป ส่วนผมจะไปดูซูโม่ที่กำลังแข่งขันอยู่ที่โตเกียว ณ ขนาดนี้ แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง คือ มันเพิ่งจบการแข่งไปเมื่อวานนี้เอง ผมเลยอด ต้องรับกรรมทำตามสัญญา ไปช้อปปิ้งกับพวกสาว ๆ)
ส่วนใครสนใจจะเที่ยวคาวากุจิโกะ ลองดู >>> กระทู้หรือเว็บไซต์เหล่านี้
http://www.marumura.com/travel/?id=3073
http://pantip.com/topic/31272503
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/03/E11845580/E11845580.html
16.00 น. ถึงโตเกียวไปเดินฮาราจูกุ ชินจุกุ เรื่อยเปื่อย และก็เข้านอน นอนที่เดิม Best Hotel Tokyo
ค่าใช้จ่ายวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
ค่าโรงแรม 800 กว่าบาท
วันที่ 8 โตเกียว >>> กลับเมืองไทย
วันนี้ตามโปรแกรมเราต้องขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยตอน 5 ทุ่มครึ่ง เราเลยมีเวลาทั้งวันในโตเกียว ผมจึงตั้งวันนี้เป็นวันฟรีเดย์ (ซึ่งก่อนมาโปรแกรมยังไม่ได้คิดเลยว่าจะไปไหน) ผมได้คุยกับเจ้าของร้านอาหาร ที่เมื่อวานไปกินข้าว (คนญี่ปุ่น)
ผม : รบกวนถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ว่าวัดหรือศาลเจ้าไหนน่าไปที่สุดในโตเกียว ที่ไม่ใช่วัดอาซากุสะ (วัดที่คนไทยชอบไป ที่มีโคมแดง ตอนแรกคิดจะไปวัดเซนงะกุจิ วัดที่ฝั่งศพของ 47 โรนิน
เจ้าของร้าน : ศาลเจ้ายะซุกุนิ
ผม : ทำไม มีอะไรน่าไปตรงไหน (จริง ๆ รู้ความเป็นมาของศาลเจ้านี้ดีอยู่แล้ว แต่อยากฟังความเห็นของคนญี่ปุ่น)
เจ้าของร้าน : ถ้าถามคนญี่ปุ่นว่าคิดถึงประเทศญี่ปุ่นต้องคิดถึงอะไร ต้องมีคำตอบ คือ ฟูจิ ซากุระ และศาลเจ้ายะซุกุนิแน่นอน
** ประกอบกับตอนก่อนผมจะมามีข่าวดังระดับโลก คือ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ในรอบหลายปี ทำให้จีนกับเกาหลีใต้ไม่พอใจ ถึงขนาดออกมาขู่ว่ากันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ดังนั้น วันนี้ผมจึงตัดสินใจวางโปรแกรมซึ่ง ๆ หน้าเอาเลยครับ ว่าจะขอไปเห็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่ทำให้ทั้งโลกสะเทือนด้วยตาสักครั้งวันนี้
ศาลเจ้ายะซุกุนิ ตั้งอยู่ที่เขตชิโยะดะ กรุงโตเกียว สร้างขึ้นครั้งแรกในยุคเมจิ ปี พ.ศ. 2412 ตามความเชื่อของลัทธิชินโต มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามกลางเมือง (สงครามโบะชิง) ระหว่างกองกำลังผู้สนับสนุนรัฐบาลโชกุนโทะกุกะวะ กับกองกำลังจักรพรรดินิยมของญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังถูกใช้เป็นที่สถิตของเหล่าดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่สละชีพในสงคราม ในยุคเมจิ เกิดสงครามกลางเมืองภายในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า สงครามโบะชิง ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลโชกุนโทะกุกะวะและฝ่ายของผู้จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ สุดท้ายฝ่ายองค์จักรพรรดิเป็นผู้ชนะ สิ้นสุดยุคของโชกุนโทะกุกะวะที่ปกครองญี่ปุ่นยาวนานกว่า 260 ปี มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก องค์จักรพรรดิเมจิมีรับสั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามโบะชิง และพระราชทานชื่อว่า โตเกียวโชกนชะ ต่อมาจักรพรรดิเมจิได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็น ยะซุกุนิจินจะ ในปี พ.ศ. 2422 ซึ่งหมายถึง ประเทศที่สงบสุข
ตัวศาลในปัจจุบันสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็ก น้ำหนักรวมกว่า 100 ตัน นับเป็นศาลเจ้าตามลัทธิชินโตที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโตเกียว ซึ่งในเวลากว่า 100 ปี ตั้งแต่ยุคเมจิ ยุคไทโช ยุคโชวะ องค์จักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จเยือนศาลเจ้ายะซุกุนิ รวมทั้งสิ้น 77 ครั้ง ไม่รวมการเสด็จเยือนขององค์จักรพรรดินี มกุฎราชกุมาร ตลอดจนพระบรมวงศ์ ต่างก็เสด็จเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้ เหล่าญาติของทหารที่เสียชีวิตในสงครามต่างก็มาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้เป็นประจำ ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดสักการะปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงวันที่ 21-23 เมษายน และ 17-20 ตุลาคมของทุกปี (แหล่งที่มา วิกิพีเดีย)
09.00 น. วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวัน นั่งสาย Yamanote จากสถานี shin Okubo ไปลงที่สถานี Shinjuku มองหาป้าย Chuo Line Local Train (สีเหลือง) แล้วขึ้นรถฝั่งที่เขียนว่า Tokyo ขึ้นรถไป 5 สถานี ไปลงที่สถานี Ichigaya เมื่อออกจากสถานีมองตรงไปข้างนอก (เห็นทางตรงเป็นเนินเล็กน้อย) เดินตรงไปเรื่อยประมาณ 10 กว่านาที ด้านซ้ายจะเห็นกำแพงยาว ๆ (มองก็รู้เลยว่าเป็นกำแพงวัด) เข้าไปด้านใน เมื่อเข้าไปด้านในสิ่งแรกที่ผมเห็นและสัมผัสได้เลย คือ คนญี่ปุ่นมีความรักชาติและสอนให้เยาวชนไม่ลืมความเป็นชาติของตัวเองสูง (เหมือนที่กล่าวไปตอนแรก ๆ)
สิ่งที่ผมสังเกตได้จากศาลเจ้านี้ คือ
เด็กอนุบาลที่โรงเรียนพามาชมศาลเจ้าแห่งนี้ เยอะมาก ๆๆ ที่ผมเจอก็ประมาณ 6 โรงเรียนเห็นจะได้ คือ ทำให้รู้เลยว่าคนญี่ปุ่นเขาปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็กว่านี่คือบรรพบุรุษของเรา นี่คือความเป็นชาติของเรา
ไม่มีใครยืนบังหรือหยุดหน้าศาลเจ้า แม้แต่ไปยืนถ่ายรูป ทหารยังไล่ให้ออกไป เพราะที่ตรงนี้ใครมาก็มาโค้งคำนับ เดินไปก้าวสองก้าวก็โค้งคำนับ ไม่มีใครหยุดมองหรือหยุดบังคนอื่นเขา
คนญี่ปุ่นหลายคนยืนมองศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนญี่ปุ่น (มองจากนัยน์ตา เขามีประกาย)
สรุปโดยรวมมาศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ผิดหวังครับ มาแล้วขนลุกดี
^^ ประตูทางเข้าด้านข้างของศาลเจ้ายะซุกุนิ
^^ ภาพชินตา ของคนญี่ปุ่น ในศาลเจ้าแห่งนี้
วันที่ 8 ตอนที่ 2
11.30 น. เราไปที่ตลาดอาเมโยโก ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งซื้อของฝากของกิน ที่คนไทยนิยมและรู้จักดี
วิธีการมาอาเมโยโก >> ให้เรานั่งรถไฟสาย Yamanote Line มาลงที่สถานี Ueno แล้วเดินนิดหน่อยก็ถึง
มีอะไรบ้างใน อาเมโยโก
>> รองเท้า เกือบทุกยี่ห้อ เกือบทุกรุ่น ยกตัวอย่าง
North Face Columbia ถูกกว่าเมืองไทย มีตั้งแต่พันกว่าบาทไปถึงสามพันกว่าบาท (แต่รุ่นยิ่งถูกยิ่งไม่มีไซส์ เพราะเป็นรองเท้าลดราคา)
New Balance Nike Adidas ราคาตั้งแต่พันกว่าบาทถึงสามพันบาท แต่มีแบบและรุ่นมากกว่าเมืองไทย
Onitsuka Tiger ราคาไม่ต่างจากเมืองไทย แต่มีบางรุ่นเมืองไทยไม่มี และก็ไม่ค่อยมีไซส์ (ผมยังไม่ซื้อที่นี่เพราะผมมีแหล่งที่ซื้อในใจแล้ว)
>> ของฝาก ขนม นม เนยมีมากมาย แล้วแต่ชอบ ราคาไม่แพง ตั้งแต่ร้อยบาท สองร้อยบาท สามร้อยบาท (ขอฝากเรื่องขนมไว้นิดนึงนะครับ ขนมบางอย่างเจอที่อื่นแล้วอยากซื้อให้ซื้อเลย อย่าหวังมาซื้อที่นี่ เพราะ ขนมบางอย่างเป็น Limited คือ ขายเฉพาะที่ และคิทแคทชาเขียวหรือพวกขนมยอดนิยม เจอที่ไหนอยากซื้อให้ซื้อเลย เพราะที่นี่ขาดตลาด ผมเลยถามว่าตอนไหนถึงมีมาขาย เขาบอกอีกนาน)
>> เครื่องสำอางก็มี และเห็นเพื่อนผมที่เป็นผู้หญิงเขาบอกว่าบางอย่างก็ราคาพอ ๆ เมืองไทย แต่ส่วนมากจะถูกกว่า แล้วถูกกว่ามาก
>> มาถึงอาเมโยโกต้องลองกินพวกซูชิ พวกของสดดูครับ เพราะที่นี่เป็นตลาดขายอาหารทะเลด้วย
>> แถว Ueno ยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย ทั้งสวนสัตว์ สวนสาธารณะ ศาลเจ้า...
15.00 น. ไปที่สถานี Shibuya เพื่อไปตามล่าหา Onitsuka Tiger (ที่อื่นดูแล้วไม่ถูกใจ ถูกใจก็ไม่มีไซส์) เมื่อลงสถานี Shibuya ให้ถามคนแถวนั้นเลยว่าห้าง >> "Parco 3 อยู่ที่ไหน” เมื่อไปถึงห้างให้ลงไปชั้นใต้ดิน คุณจะเจอกับ Shop ของ Onitsuka
ขอยอมรับว่าผมเป็นคนชอบรองเท้าขนาดหนัก โดยเฉพาะ Onitsuka Tiger (คืออยู่เมืองไทยเจอรุ่นใหม่ต้องเป็นซื้อ) แต่มาญี่ปุ่นจนจะวันกลับอยู่แล้วยังไม่เจอที่ถูกใจเลย หรือบางทีก็รู้สึกว่าราคาก็ไม่ได้ต่างจากเมืองไทยเลย แต่พอมาเจอที่นี่ต้องบอกว่า โอ้สวรรค์ ถูกใจจริง ๆ เพราะมีแบบ มีไซส์ ราคาไม่แพง
ขอเล่าให้ฟังก่อนครับว่าที่นี่มีอะไรบ้าง
รุ่นใหม่ (แบบเมืองไทยไม่เห็นมีมาขาย หรือมีมาขายในจำนวนน้อย)
รุ่นทั่วไป ผลิตนอกญี่ปุ่น
รุ่นทั่วไป ผลิตนอกญี่ปุ่น ลดราคาบ้าเลือด 30-40%
รุ่นที่ผลิตในญี่ปุ่น
สรุปไปญี่ปุ่นรอบนี้ผมและแฟนได้รองเท้ากลับมาทั้งหมด 5 คู่ (หมดค่ารองเท้าไปเยอะสุด แต่อย่างอื่นไม่ได้ซื้ออะไรเลย)
1. Onitsuka Tiger >> รุ่น Mexico 66 Made in Vietnam 1 คู่ ราคาสองพันต้น ๆ (เมืองไทยขายอยู่ในห้าง 4 พันกว่า ในร้านทั่วไปขายสามพันกว่า) ที่สำคัญสีที่ซื้อมาเป็นเหลือง เขียว ส้ม เมืองไทยหายาก
2. Onitsuka Tiger >> รุ่น Mexico 66 Made in Japan (Nippon Made) ราคาหกพันกว่า ลดอีก 10% เหลือห้าพันกว่า (เมืองไทยขายอยู่ในห้างหมื่นกว่า ในร้านทั่วไปประมาณ 9 พัน)
3. ส่วนแฟนผมซื้อ Onitsuka Tiger Made in Japan ของผู้หญิงมาสองคู่ ราคา 8,000 กว่าบาท (เมืองไทยไม่น่ามีขายในตอนนี้ และถ้านำมาขายราคาคู่น่าจะหลายตังค์เพราะ Made in Japan)
ทั้งหมดซื้อจากช็อป Onitsuka Tiger
4. รองเท้า Columbia 1 คู่ ราคาพันต้น ๆ (คนขายบอกเป็นรองเท้าตกรุ่น) แต่ราคานี้เมืองไทยหาซื้อยาก (ได้มาจากอาเมโยโก)
19.00 น. ผมออกจากโรงแรมนั่งรถสาย Yamanote ไปลงที่สถานี Hamamatsucho แล้วต่อ Tokyo Monorail เข้าสนามบิน เพื่อต่อเครื่องบินกลับเมืองไทย
สรุปการเดินทาง : ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนถึงมาเที่ยวญี่ปุ่น และหลายคนเคยมาญี่ปุ่นแล้วก็ต้องกลับไปเที่ยวอีก เพราะมันเป็นตามที่ผมบอกตั้งแต่เริ่มต้นว่า "ถูก ง่าย สวย ครบ" (ขอเพิ่มอีกอย่าง คือ สะอาดและอาหารถูกปาก) และหากถามว่าผมชอบที่ไหนที่สุดในทริปนี้ ผมบอกเลยครับว่าผมชอบทาคายาม่า (ชอบมากกว่าชิราคาวาโกะ) เพราะตามที่เล่า ทาคายาม่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์โดยไม่ต้องเล่นละครหรือจัดฉาก และถ้านับเมืองที่ผมเคยไปมา ทาคายาม่าอยู่เป็นอันดับสองในใจของผมตอนนี้ (อันดับ 1 คือ ลี่เจียง ประเทศจีน) และหากถามว่ามีโอกาสอยากกลับไปอีกไหม บอกเลยครับอยากไป (แต่คงไม่ไปแล้ว เพราะผมไม่นิยมไปเที่ยวที่เดิม 555) อีกอย่างที่ผมชอบ คือ ฟูจิ ครับ เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองจึงเข้าใจเลยว่า ทำไมคนญี่ปุ่นถึงยกให้ภูเขาไฟฟูจิเป็นดั่ง "จิตวิญญาณของคนในชาติ" เพราะใครก็ตามที่ได้เห็นฟูจิในครั้งแรก ก็เหมือนต้องมนต์สะกด ให้มอง ให้ตะลึง ให้ชม อยู่อย่างนั้น ตรงนั้น (เหมือนที่ผมเป็น) ยังไง
สุดท้ายอยากบอกเพื่อน ๆ ที่อยากไปแต่ยังไม่กล้าว่า ลองไปดู "ญี่ปุ่น...ประเทศนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน"
มิลานน้อย
ขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจของทุกความคิดเห็นครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)